10/19/2006

THE MOST WORD...

(Source: anonymous)

THE MOST
selfish one-letter word "I"...AVOID IT.
satisfying two-letter word "WE"...USE IT.
poisonous three-letter word "EGO"...KILL IT.
used four-letter word "LOVE"...VALUE IT.
pleasing five-letter word "SMILE"...KEEP IT.
fastest spreading six-letter word "RUMOUR"...IGNORE IT.
hardest working seven-letter word "SUCCESS"...ACHIEVE IT.
enviable eight-letter word JEALOUSLY"...DISTANCE IT.
powerful nine-letter word KNOWLEDGE"...ACQUIRE IT.
essential ten-letter word "CONFIDENCE"...TRUST IT.

...

How to make yourself happy

18 วิธีปฏิบัติ
นำท่านให้พบกับความสุข

โปรดสำรวจตรวจสอบว่า ปัจจุบันท่านปฏิบัติตาม 18 ข้อต่อไปนี้หรือไม่ หากขาดข้อใด
ขอให้ทบทวน พิจารณาปรับปรุง แล้วท่านจะพบกับความสุขในสังคมโลกนี้อย่างแน่นอน
1. ….. มีเป้าหมายในชีวิต (Have targets and goals)
2. ….. ยิ้มเสมอ (Smile always)
3. ….. แบ่งปันความสุขกับผู้อื่น (Share the happiness with other)
4. ….. เต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น (Willing to help others)
5. ….. มีหัวใจร่าเริงเหมือนเด็ก (Keep a childlike heart)
6. ….. คบหาสมาคมได้กับคนทุกประเภท
(Get on well with different kinds of people)
7. ….. มีอารมณ์ขัน (Keep the sense of humor)
8. ….. สงบเมื่อเผชิญกับสิ่งที่คาดไม่ถึง
(Keep calm when surprise comes)
9. ….. ให้อภัยผู้อื่น (Forgive others)
10. ….. มีเพื่อนแท้อยู่บ้าง (Have some really good friends)
11. ….. ชอบทำงานเป็นทีม (Always work in a team)
12. ….. มีความสนุก เมื่ออยู่กับครอบครัว (Enjoy the family gathering time)
13. ….. มีความเชื่อมั่นและภูมิใจในตนเอง (Be confident and proud of yourself)
14. ….. ให้ความเคารพคนที่อ่อนแอ (Respect the weak)
15. ….. ทำตามใจตัวเองบ้าง เป็นบางคราว (Indulge yourself, sometimes)
16. ….. ทำงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ (Work consistantly)
17. ….. มีความกล้าหาญและกล้าเสี่ยง (Be brave and courageous)
18. ….. อย่าโลภมาก เห็นแก่เงินจนเกินไป
(Finally, don’t be a money grubber)

อนุกูล เยี่ยงพฤกษาวัลย์ แปลและเรียบเรียงจาก
How to make yourself happy

อดีต อนาคต และปัจจุบัน (Past, present, and future)

อดีต อนาคต และปัจจุบัน
โปรดตอบคำถามนี้โดยทันที ถ้าหากย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงอดีตได้
ท่านต้องการจะเปลี่ยนแปลง หรือไม่ ?
ถ้าต้องการ จะเปลี่ยนแปลงช่วงไหนของชีวิต ?
เปลี่ยนแปลงอะไร ? เปลี่ยนแปลงอย่างไร ? และ เพราะเหตุใด ?

วิเคราะห์คำตอบ ถ้าท่านตอบว่า อยากเปลี่ยน พร้อมทั้งเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แสดงว่า………. ท่านยังไม่พึงพอใจกับสภาพปัจจุบันของท่าน อันเนื่องมาจากสาเหตุอดีต เพราะปัจจุบันมีผลมาจากอดีต แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนแปลงอดีต ถึงแม้ว่า จะมีนักเขียน นักฝันหลายๆคน จะเขียนหรือจินตนาการเรื่องย้อนยุค ย้อนกลับไปแก้ไขอดีต เพราะไม่พอใจกับปัจจุบัน ก็ตาม แต่ยังไม่เคยเป็นจริงได้ จึงไม่มีคำว่า “ถ้าเปลี่ยนแปลงอดีตได้”

คำถามนี้ตั้งขึ้น เพียงเพื่อตรวจสอบความพึงพอใจตนเองในสถานภาพปัจจุบันหรือไม่ ปัจจุบันคือความเป็นจริงที่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ โดยตัวเราเองเท่านั้น ดังนั้น ถ้าท่านไม่พึงพอใจในสภาพปัจจุบัน ท่านจะต้องเริ่มเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง พัฒนาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่ใช่มองย้อนอดีต ติดยึดกับความผิดพลาดในอดีต แต่ต้องใช้เป็นบทเรียนไม่ให้ผิดซ้ำอีก พึงกำหนดเป้าหมายชีวิต บรรยายสภาพที่ต้องการจะเป็น จะมี จะอยู่อย่างไรให้ชัดเจน ภายในระยะเวลาใดในอนาคต แล้ววางแผนการเดินทางของชีวิตว่า จะต้องเตรียมตัวอะไร อย่างไรและเมื่อใด ขณะเดียวกันท่านก็ต้องปรับปรุง เติมเต็มส่วนที่พร่องหรือด้อย พัฒนาเพิ่มเติมในส่วนที่ดีที่เก่ง ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น และเสริมสร้างส่วนที่ยังขาดอยู่ซึ่งจำเป็นต้องมีเกี่ยวกับเป้าหมาย แล้วเริ่มออกเดินโดยไม่รั้งรอ สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องมีวินัยในตนเอง เคร่งครัดกับตน แต่ผ่อนปรนผู้อื่น ความสำเร็จจะเป็นของท่านอย่างแน่นอนในอนาคต

ถ้าท่านตอบว่า ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอดีต ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แสดงว่า......... ท่านพอใจกับความเป็นตัวท่านในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการดีแล้ว แต่ต้องถามต่อไปว่า ขณะนี้ท่านมีเป้าหมายอนาคตที่จะเดินทางต่อไปหรือไม่ ถ้ามี ทุกวันนี้ท่านยังดำเนินกิจกรรมชีวิตที่นำท่านไปสู่เป้าหมายหรือไม่ ถ้าท่านหยุดนิ่งหรือไม่กระตือรือร้นกระทำกิจกรรมใดใดที่จะสนับสนุนนำท่านไปสู่เป้าหมายหรือยังไม่มีเป้าหมายอะไรเลย เพียงแต่อยู่ไปวันๆหรือรอให้เหตุการณ์รอบตัวท่านชี้นำท่านไป ถ้าท่านมีเป้าหมายชัดเจน เส้นทางเดินที่มั่นคง และมุ่งมั่นเพื่อประโยชน์สังคมส่วนรวมแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ควรสรรเสริญยกย่องอย่างยิ่ง เพราะชีวิตคือการเดินทางที่จะต้องทิ้งสารประโยชน์ให้กับคนรุ่นหลัง เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าตนเอง ที่ได้มีโอกาสเกิดมา มีคุณค่าความหมายต่อมวลมนุษยชาติก่อนจะละจากโลกนี้ไป

อนุกูล เยี่ยงพฤกษาวัลย์
7 พฤศจิกายน 2549 13.50 น

MEN and WOMEN

เพื่อความเข้าใจกันที่ดีต่อกันของหญิงชาย
ผู้ชายและผู้หญิงมีความแตกต่างกันในหลายๆเรื่อง จึงมักจะเป็นเหตุให้ขัดแย้งอย่างรุนแรงจนแตกหักในที่สุด ทั้งนี้เพราะไม่เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของกันและกัน มีทิฐิเอาชนะกัน จึงเป็นผลให้พ่ายแพ้ เจ็บปวดด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย

เพื่อลดช่องว่าง และเข้าใจที่ดีต่อกันระหว่างหญิงกับชาย ขอให้ลองมาพิจารณาข้อสังเกต 6 ประการของความแตกต่างของผู้ชายและผู้หญิง

เพื่อให้เกิดชัยชนะร่วมกัน พบกับความสุขที่แท้จริง


1. พึงให้คำสุดท้ายของการโต้เถียงใดใดเป็นของผู้หญิง เพราะหลังจากคำพูดอะไรก็แล้วแต่ของผู้ชายจะเป็นประเด็นใหม่ของการโต้เถียงต่อไป (A woman has the last word in any argument. Anything a man says after that is the beginning of a new argument.)

2. ผู้หญิงแต่งงานกับผู้ชายโดยคาดหวังว่าเขาจะเปลี่ยนนิสัยเดิมๆที่ไม่ดี แต่หลังแต่งงานแล้วเขาก็ไม่เปลี่ยน ผู้ชายแต่งงานกับผู้หญิงโดยคาดหวังว่าเธอจะไม่เปลี่ยนการตามใจ แต่เธอก็เปลี่ยนไป หลังจากแต่งงาน (A woman marries a man expecting he will change, but he doesn’t. A man marries a woman expecting that she won’t change, and she does.)

3. การจะใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายอย่างมีความสุข ผู้หญิงจะต้องเข้าใจเขาให้มากๆและรักเขาน้อยๆ การจะใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงอย่างมีความสุข ผู้ชายจะต้องรักเธอมากๆและไม่ต้องพยายามเข้าใจเธอเลย (To be happy with a man, you must understand him a lot and love him a little. To be happy with a woman, you must love her a lot and not try to understand her at all.)

4. ผู้ชายจะยอมจ่ายซื้อของ 1 ชิ้นที่มีราคา 1 เหรียญ ในราคา 2 เหรียญถ้าเขาต้องการ ผู้หญิงจะยอมจ่ายซื้อของ 1 เหรียญ 2 ชิ้นกับสินค้าที่มีราคา 2 เหรียญต่อชิ้นได้ทั้งๆที่ไม่ต้องการ (A man will pay $2 for a $1 item he needs. A woman will pay $1 for a $2 item that she doesn’t need.)

5. ผู้หญิงจะกังวลเกี่ยวกับอนาคตจนกระทั่งเธอได้สามี ผู้ชายจะไม่เคยกังวลคิดถึงอนาคตเลยจนกระทั่งเขาได้ภรรยา (A woman worries about the future until she gets a husband. A man never worries about the future until he gets a wife.)

6. ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่สามารถหาเงินได้มากกว่าการใช้จ่ายของภรรยา ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ คือ ผู้หญิงที่สามารถแต่งงานกับผู้ชายเช่นนี้ได้ (A successful man is one who makes more than his wife can spend. A successful woman is one who find such a man.)

10/15/2006

ไม่เป็นไร ใคร ๆ เขาก็ทำกัน

เมื่อชัยอายุ 6 ขวบ ขณะที่นั่งรถไปกับพ่อ ถูกตำรวจจับเพราะขับรถเร็วเกินกำหนด พ่อแอบยื่นเงิน 500 บาทให้ตำรวจ และได้รับอนุญาตปล่อยตัวไป พ่อหันมาพูดกับชัยว่า

“ไม่เป็นไรลูก เงินแค่นี้ซื้อเวลา ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ“

เมื่อชัยอายุ 8 ขวบ ป้าพาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นเงิน 75 บาทเมื่อป้าไปชำระเงิน ยื่นธนบัตรร้อยบาทให้พนักงาน ได้รับเงินทอน 55 บาท เพราะลูกค้ามากและเข้าใจว่าธนบัตร 50 บาทคือ 20 บาท ป้ารับเงินทอนและใส่กระเป๋าทันที แทนที่จะบอกพนักงานว่าทอนเงินผิด เมื่อออกจากร้านป้าก็พูดกับชัยว่า

“ไม่เป็นไรหลาน ความผิดของเขาเองใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ“

เมื่อชัยอายุ 9 ขวบ ครูให้การบ้านปลูกต้นหอมแดงในกระบะ 2 สัปดาห์ แล้วนำไปส่งที่โรงเรียน แม่ลืมซื้อหัวหอมแดงมาให้ชัย เมื่อครบกำหนดวันส่ง แม่ให้พ่อไปซื้อต้นหอมแดงที่ตลาดและฝังลงในกระบะให้ชัยนำไปส่งครู และพูดว่า

“ไม่เป็นไรลูก ครูไม่รู้หรอก มีส่งก็ดีแล้ว ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ“

เมื่อชัยอายุ 12 ขวบ ชัยทำแว่นตาใหม่ราคาแพงของลุงแตก ลุงจึงนำใบเสร็จไปอ้างกับบริษัทเครดิตที่ลุงใช้บริการอยู่ว่าแว่นตาถูกขโมยได้รับเงินชดใช้มา 15,000 บาท เต็มราคาที่ซื้อมา ลุงพูดกับชัยอย่างภาคภูมิใจว่า

“ไม่เป็นไรหรอกหลาน สิทธ์ของเราใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ“

เมื่อชัยอายุ 15 ปี ได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน ครูฝึกได้สอนวิธีกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บโดยไม่ผิดถือว่าอยู่ในเกม ครูฝึกบอกว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ได้เปรียบไว้ก่อนเป็นดี ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ“

เมื่อชัยอายุ 16 ปี ได้ไปทำงานระหว่างปิดเทอมที่แผนกซูปเปอร์มาร์เก็ต ของห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อแห่งหนึ่ง หัวหน้าแผนกให้ชัยจัดกระเช้าผลไม้ โดยแนะนำให้จัดวางผลไม่สวยจวนจะเน่าอยู่ก้นตะกร้า คัดผลสวย ใบโตสีสด จัดวางอยู่ส่วนบน หัวหน้าแผนกสอนว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ผู้ซื้อไม่ได้ใช้เอง แต่นำไปฝากคนอื่น ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ“

เมื่อชัยอายุ 18 ปี ได้สมัครสอบเพื่อเข้าขอรับทุนของมหาวิทยาลัยปรากฏผลทราบเป็นการภายในว่ามาเป็นอันดับ 2 เมื่อพ่อรู้เข้าจึงไปพูดกับกรรมการซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ในที่สุดชัยก็ได้รับทุน พ่อพูดกับชัยว่า

“ไม่เป็นไรลูก เป็นโอกาสของเรา ใครใครถ้ามีโอกาส เขาทำกันทั้งนั้นแหละ“

เมื่อชัยอายุ 19 ปี เพื่อนเอาข้อสอบปลายปีที่ขโมยมาขายกับชัยเป็นเงิน 1,500 บาท ชัยลังเลใจและตัดสินใจซื้อในที่สุด เพราะเพื่อนพูดว่า

“ไม่เป็นไรหรอกชัย เกรดมีผลกับอนาคตนะ ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ“

เมื่อชัยอายุ 24 ปี ชัยถูกจับข้อหายักยอกเงินบริษัท 700,000 บาท และต้องติดคุก พ่อกับแม่ไปเยี่ยมและตัดพ้อต่อว่า

“ทำไมลูกทำอย่างนี้กับพ่อแม่ ที่บ้านเราไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนขี้โกงเลยนะ“

แนวคิดจาก It’ s ok , son , everybody does it . By Jack Griffin
ผู้เรียบเรียง
อนุกูล เยี่ยงพฤกษาวัลย์

ชีวิต...ก็เป็นเช่นนี้แหละ

กาลครั้งหนึ่ง มีชาวนาคนหนึ่ง ด้วยความยากจนจึงต้องใช้ม้าแก่ไถนาเพราะไม่มีเงินซื้อแทรกเตอร์ไถนา บ่ายวันหนึ่ง ขณะกำลังไถนา ม้าแก่หมดแรงล้มลงขาดใจตาย ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็พูดว่า

“โอ้โชคชะตา ช่างโหดร้ายกับชาวนาผู้น่าสงสารเหลือเกิน“
ชาวนาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ชีวิต ก็เป็นเช่นนี้แหละ“

ด้วยความสุขุม สงบนิ่ง ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็ยกย่องชมเชย และเห็นใจจึงช่วยกันเรี่ยไร ซื้อม้าตัวใหม่ให้ชาวนาและกล่าวอย่างภาคภูมิใจใ กุศลเจตนาว่า “ลุงโชคดีนะ ที่มีพวกเราคอยให้ความช่วยเหลือ”
ชาวนาตอบว่า “ขอบคุณ ชีวิต ก็เป็นเช่นนี้แหละ“

2–3 วันต่อมา ม้าตัวใหม่ของชาวนาตื่นตกใจกระโดดข้ามรั้วหนีหายเข้าป่าไป ทุกคนในหมู่บ้านต่างส่ายศีรษะได้แต่พูดกับชาวนาว่า “ลุงเอ๋ย กรรมช่างไม่หยุดยั้งซ้ำเติมลุงเลยนะ“
ชาวนายิ้มและพูดว่า “ช่างเถอะ ชีวิต ก็เป็นเช่นนี้แหละ“

แต่ไม่กี่วันต่อมา ม้าตัวใหม่นี้ก็หาทางกลับบ้านได้ถูกมาอยู่กับชาวนาต่อไป ทุกคนต่างก็แวะมาแสดงความดีใจกับชาวนา และพูดว่า “หมดเคราะห์ หมดกรรมเสียทีนะ ลุงนะ“
ชาวนาตอบว่า “ขอบคุณ ชีวิต ก็เป็นเช่นนี้แหละ“

ปีต่อมา ลูกชายชาวนาตกจากหลังม้าและขาหัก ทุกคนก็มาเยี่ยมและพูดว่า “หนุ่มน้อยผู้น่าสงสาร เสียใจด้วยนะ ขอให้หายวันหายคืน“
ชาวนาตอบว่า “ขอบคุณ ไม่เป็นไร เด็กหนุ่มไม่กี่วันก็หาย ชีวิต ก็เป็นเช่นนี้แหละ“

2 วันต่อมา นายทหารจากกองทัพได้เข้ามาในหมู่บ้านเพื่อเกณฑ์ทหารจากชายหนุ่มในหมู่บ้านเพราะอยู่ในช่วงสงครามต้องการทหารเป็น จำนวนมาก ลูกชาวนาก็ได้รับการยกเว้นเพราะขาหัก ทุกคนต่างก็มาแสดงความยินดีกับชาวนา
ชาวนายิ้มอย่างอ่อนโยนและตอบว่า “ขอบคุณ ชีวิต ก็เป็นเช่นนี้แหละ“

ท่านได้ข้อคิดอะไรจากนิทานเรื่องนี้ ?

********************************

ข้อคิดจากนิทาน “ชีวิต...ก็เป็นเช่นนี้แหละ“

ชีวิต มีแพ้ มีชนะ มีสุข และมีทุกข์
ยามแพ้ หรือมีทุกข์ อย่าท้อแท้ หมดหวังหมดกำลังใจ เพราะชัยชนะรออยู่เบื้องหน้า ถ้าเราไม่แพ้ใจเสียก่อน สู้ต่อไป
ยามชนะ หรือมีสุข ก็อย่าหลงระเริงว่าความสุข หรือชัยชนะจะเป็นของเราตลอดไป เพราะความทุกข์และความพ่ายแพ้พร้อมจะก้าวเข้ามาได้ทุกเมื่อ ดังนั้น เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท อย่าตื่นเต้นดีใจ หรือ เศร้าโศกเสียใจจนเกินเหตุกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อนั้นแหละ...เราจึงจะได้ชื่อว่าผู้เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง เพราะได้เข้าถึงสัจธรรมอย่างแท้จริง

จากเรื่องเดิม...We’ll see.

ผู้แปลและเรียบเรียง
อนุกูล เยี่ยงพฤกษาวัลย์

10/02/2006

ขอเพียงทำดี

เฟลมมิ่ง เป็นชาวนาสก๊อตที่ยากจน วันหนึ่ง ขณะที่กำลังทำงานอยู่ เขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหนองน้ำที่ไม่ไกลนัก เขาทิ้งเครื่องมือและรีบวิ่งไปยังหนองน้ำ ณ ที่นั้น เขาเห็นเด็กน้อยจมอยู่ในโคลนสีดำสกปรกถึงเอว กำลังดิ้นร้องครวญครางด้วยความหวาดกลัว ในที่สุดชาวนาก็ช่วยเด็กน้อยรอดพ้นจากความตาย

วันรุ่งขึ้น มีรถม้าคันหรูขับเข้ามาในชุมชนสก๊อตและหยุดตรงหน้ากระท่อมของเฟลมมิ่ง ขุนนางในชุดเต็มยศก้าวลงมาจากรถม้าและแนะนำตัวกับเฟลมมิ่งว่าเป็นพ่อของเด็กชายที่เขาได้ช่วยชีวิตไว้ และกล่าวต่อไปว่า

“ฉันต้องการตอบแทนบุญคุณของเธอ ด้วยเงินถุงนี้ที่ได้ช่วยชีวิตลูกฉันไว้“

ชาวนาตอบว่า “กระผมมิอาจรับเงินท่านได้ เพราะไม่ได้ช่วยลูกของท่านเพื่อหวังผลตอบแทนแต่ประการใด“

ขณะเดียวกันนั้น ขุนนางเห็นเด็กผู้ชายในวัยเดียวกับลูกชายยืนอยู่ที่ประตูกระท่อม จึงถามชาวนาว่า “นั่นคือลูกชายของเธอหรือ ?“

ชาวนาตอบด้วยความภาคภูมิใจว่า “ใช่ครับ “

ขุนนางพูดต่อไปว่า “ถ้ายังงั้น ฉันมีข้อเสนอกับเธอว่า ฉันจะอุปการะเลี้ยงดูและสนับสนุนการเรียนของลูกชายของเธอทุกอย่างเช่นเดียวกับลูกชายของฉันเอง ฉันมั่นใจว่า ถ้าเขาเหมือนกับพ่อ เขาจะเติบโตขึ้นเป็นคนที่เราทั้งสองจะภาคภูมิใจร่วมกันอย่างแน่นอน “

เฟลมมิ่ง ชาวนารับข้อเสนอ

ต่อมาลูกชายของเฟลมมิ่ง ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด และเรียนจบที่เซนท์ แมรี่ ฮอสปิตอล เมดดิคอล สคูล (St.Mary’s Hospital Medical School). ในกรุงลอนดอน ออกมาประกอบอาชีพจนกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงก้องโลกที่รู้จักกันในชื่อว่า เซอร์ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง (Sir Alexander Fleming) ผู้ค้นพบยาเพนนิซิลิน

หลายปีต่อมา ลูกชายของขุนนางผู้อุปการะเซอร์ อล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่ง ป่วยเป็นปอดบวมและได้รอดชีวิตอีกครั้งด้วยเพนนิซิลิน

ขุนนางผู้นี้ คือ ท่านลอร์ด แรนดอล์ฟ เชอร์ชิล (Lord Randolph Churchill)

ลูกชายของขุนนางผู้นี้คือ เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล (Sir Winston Churchill)


********************************

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า
โลกนี้กลม หมุนไปและวนกลับมา
จงทำงานโดยไม่ต้องกังวลถึงเงินทองที่จะได้
จงรักทุกคนโดยไม่ต้องคิดถึงความเจ็บปวดที่เคยได้รับ
จงเต้นรำให้สวยที่สุดโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนดูหรือไม่
จงร้องเพลงให้ไพเราะที่สุด โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนฟังหรือไม่
จงอยู่เสมือนว่าทุกหนทุกแห่งคือสวรรค์บน ดิน

ผู้แปลและเรียบเรียง
อนุกูล เยี่ยงพฤกษาวัลย์