9/22/2006

ข้อคิดจากช่างไม้ และคนตัดไม้

ช่างไม้ (จากอินเตอร์เน็ต) new
ช่างไม้สูงอายุคนหนึ่งต้องการจะเกษียณตัวเอง ก็เลยบอกความต้องการดังกล่าวกับนายจ้าง เกี่ยวความต้องการที่จะเกษียณและใช้ชีวิตที่หรูหรากับภรรยา ซึ่งช่างไม้ก็บอกว่าเขาอาจจะเสียดายค่าจ้างที่จะได้รับ แต่เขาก็ต้องการที่จะเกษียณ นายจ้างก็บ่นเสียดายที่จะต้องสูญเสียช่างฝีมือดีไป แต่ก็ได้ขอร้องให้ช่างคนนี้ช่วยสร้างบ้านให้อีกสัก 1 หลัง ช่างไม้ผู้นั้นก็ตอบตกลง ครั้นพอบ้านสร้างเสร็จก็พบว่า มันไม่ใช่งานที่เป็นฝีมือของช่างคนนี้เลยแม้แต่น้อย งานที่ออกมาก็เป็นงานแค่เปลือกนอก (จอมปลอม) วัตถุดิบที่ใช้ก็ด้อยคุณภาพ มันช่างเป็นการจบชีวิตช่างฝีมือดีที่ไม่สวยหรูเลย และเมื่อนายจ้างสำรวจงานชิ้นนี้ของช่างผู้นี้ นายจ้างก็ได้ยื่นกุญแจให้แล้วบอกกับช่างไม้ว่า "นี่คือบ้านของคุณ .......ผมขอมอบให้คุณเป็นของขวัญ" เมื่อช่างไม้ได้ยินเช่นนั้น ถึงกับตกใจและอุทานกับตัวเองว่า น่าละอายจริงๆ ถ้าเขารู้สักนิดว่ากำลังสร้างบ้านของตัวเองอยู่ เขาก็คงตั้งใจสร้างให้ดีกว่านี้

ข้อคิดสะกิดใจ เช่นเดียวกับพวกเราที่กำลังสร้างชีวิตของตัวเราเอง ด้วยการสั่งสมสิ่งต่างๆ วันละเล็กวันละน้อย และบ่อยครั้งที่เราไม่ได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุด ในการสรรค์สร้างชีวิตของตนเอง และเมื่อวันๆ หนึ่งมาถึง เราก็จะตระหนักว่า เราต้องใช้ชีวิตอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งหมด และเมื่อถึงวันนั้น เรามักจะพูดเสมอว่าถ้าเราสามารถกลับไปได้ เราจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ..... เพราะพวกเราทุกคนก็คือช่างไม้ ในทุกๆ วัน พวกเรากำลังตอกตะปู ปูกระดาน หรือแม้แต่กำลังเลือกกำแพงให้กับชีวิตตัวเอง ดังคำพูดที่ว่า "ชีวิตก็คือสิ่งที่เราสร้างด้วยตัวเราเอง" ทัศนคติ และ ทางเลือกต่างๆ ที่พวกเราได้เลือกกันในวันนี้ ก็เสมือนกับการสร้าง "บ้าน" (ชีวิต) ที่เราจะต้องอยู่กับมันให้กับตัวเอง .......



คนตัดไม้ (จากอินเตอร์เน็ต)
มีคนตัดไม้คนหนึ่ง นำฟืนไปขายให้แก่ร้านขายฟืนเป็นประจำ ซึ่งร้านขายฟืนก็ปฏิบัติต่อคนตัดไม้ดีมาก ดังนั้นคนตัดไม้จึงคิดอยากตอบแทน โดยการจะตัดไม้ ให้ ได้เป็นจำนวนมากๆ ในวันแรกคนตัดไม้ตัดไม้ได้ 20 ต้น แล้วนำมาให้ร้านขายฟืน ซึ่งร้านขายฟืนก็ชมเชยและปฏิบัติต่อคนตัดไม้อย่างดี ...แต่พอในวันที่ 2 คน ตัดไม้ก็ตั้งใจจะตัดให้ได้มากขึ้น... แต่ปรากฏว่ากลับตัดได้เพียง 18 ต้น โดยในวันรุ่งขึ้นก็กะว่าจะตัดให้ได้มากยิ่งขึ้น... แต่ก็กลับเหลือ 16 ต้น ...ยิ่งนับวันผ่านไปเรื่อยๆก็ตัดได้น้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุดคนตัดไม้ก็รู้สึกละอายใจ จึงไปกล่าวคำขอโทษกับทางร้านขายฟืน

แต่เจ้าของร้านขายฟืนก็กลับถามคนตัดไม้ว่า “คุณลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่“ คนตัดไม้ตอบว่า ผมไม่มีเวลาหยุดลับขวานเลย เพราะขนาดไม่หยุดยังตัดไม้ได้น้อยขนาดนี้ ซึ่งเจ้าของร้านก็บอกแก่คนตัดไม้ว่า คุณลองคิดดูสิว่า..หากคุณหยุดลับขวานให้คม โดยเสียเวลาเพียงเล็กน้อย.. คุณอาจตัดไม้ได้มากกว่านี้ก็ได้

เปรียบได้กับการทำงาน ถ้าคุณก้มหน้าก้มตาทำโดยไม่หยุดพัก หยุดคิด และปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ก็เปรียบได้กับคนตัดไม้ ...คุณก็จะล้าลงไปเรื่อยๆ ...

พ่ออยู่ แต่ป่วยค่ะ

กรณีศึกษาทางการบริหาร
จากหนังสือ บทเรียนจากความผิดพลาดทางการบริหาร
เรื่องที่ 2 “พ่ออยู่ แต่ป่วยค่ะ”

ครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. 2509 ขณะที่ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนประชาบาล ได้จัดให้ผู้ปกครองนำเด็กมามอบตัวเพื่อเข้าเรียนชั้น ป. 1 ขณะที่ดำเนินการมอบตัวอยู่นั้น มีเด็กนักเรียนชั้น ป. 4 คนหนึ่งพาน้องมามอบตัวแทนบิดามารดา
ข้าพเจ้าก็ถามว่า “ใครเป็นผู้ปกครอง”
เด็กก็ตอบว่า “หนูเองค่ะ”
ข้าพเจ้าก็ถามว่า “บิดามารดาอยู่หรือเปล่า”
เด็กก็ตอบว่า “พ่ออยู่แต่ป่วยค่ะ”
ข้าพเจ้าก็บอกว่า “พ่อเธอป่วย แต่หากพอจะมาได้ ก็ไปบอกให้มา”
เด็กคนนั้นน้ำตาคลอเบ้าตา แล้วก็จูงมือน้องออกจากบริเวณโรงเรียนไป สักครู่ใหญ่ต่อมาสองพี่น้องช่วยกันจับมือบิดาประคองกันขึ้นมาบนอาคาร ข้าพเจ้าหันไปมองแทบสะอึก อัดอั้นตันใจพูดไม่ออก อ้าปากค้าง เพราะว่าบิดาของเธอเป็นอัมพาตไปไหนไม่ได้มานานแล้ว จะต้องพยุงใส่รถสามล้อมาที่โรงเรียน ข้าพเจ้ารำพึงในใจด้วยความสำนึกบาปว่า
“ข้าพเจ้าไม่น่าจะทำอย่างนี้เลย” และฝังใจมาจนกระทั่งทุกวันนี้

“ ข้อคิดจากพ่อกับลูก”

ซื้อเวลา (จากอินเตอร์เน็ต) new
ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู
ลูก. "พ่อครับ, พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง"
พ่อ. "ว่ามาสิลูก, อะไรเหรอ"
ลูก. "พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
พ่อ. "ไม่ใช่กงการอะไรของลูกนี่, ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ" พ่อตอบด้วยความโมโห
ลูก. "ผมอยากรู้จริงๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่" ลูกพูดขอร้อง
พ่อ. "ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ล่ะก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ"
ลูก. "โอ.." ลูกอุทาน แล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10 เหรียญ"
พ่อกล่าวด้วยอารมณ์ "นี่เป็นเหตุผลที่แกถามเพื่อจะขอเงินแล้วไปซื้อของเล่นโง่ๆ อะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะ แล้วลองคิดดูว่า แกน่ะเห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลายๆ ชั่วโมงทุกวันและไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"
เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้นเพื่อจะขอเงินได้อย่างไร หลังจากนั้นเกือบชั่วโมง อารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริงๆ และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตู
พ่อ. "หลับหรือยังลูก"
ลูก. "ยังครับ"
พ่อ. "พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป" , "นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก, เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ"
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง "ขอบคุณครับพ่อ"
ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้าๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง "ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขออีกทำไม"
ลูก. "เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง ...พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็วๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ"


คำถามจากพ่อ (จากอินเตอร์เน็ต)
new
ชายแก่วัยเลย 60 คนหนึ่งคุยกับลูกชายที่ เพิ่งกลับมาเยี่ยมหลัง จากแต่งงานและย้าย ครอบครัวออกไปไม่กี่ปี
ชายแก่...แจ๊ค (ชื่อลูกชาย) นั่นอะไรลูกเห็นลางๆ
แจ๊ค...อ๋อ วัวแหนะพ่อ ผ่านไป 2-3 นาที
ชายแก่...แจ๊ค นั่นอะไรลูก
แจ๊ค...วัว ตัวเดิมนั่นแหละพ่อ ยังไม่ไปไหนเลย ผ่านไปอีก 2-3 นาที
ชายแก่...แจ๊ค นั่นอะไรอีกละลูก
แจ๊ค...(เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด) วัว พ่อวัว วัวตัวเดิมที่เพิ่งถามนั่นแหละ เวลาผ่านไปอีก 2-3 นาที
ชายแก่...แจ๊ค นั่นอะไรลูก
แจ๊ค...เอีะพ่อนี่ยังไงนะ ถามซ้ำๆซาก ผมจะบอกครั้งสุดท้ายแล้วนะว่าวัว ผ่านไปอีก 2-3 นาที
ชายแก่...แจ๊ค นั่นอะไรลูก
แจ๊ค...โอ๊ย ! พ่อเลอะเลือนแล้ว คุยไม่รู้เรื่อง ผมไม่คุยกับพ่อแล้ว แล้วแจ๊คก็ผละจากพ่อไปอย่างอารมณ์เสียเป็นที่สุด เวลาผ่านไป จวบจนตอนเย็น ได้เวลาอาหารค่ำ เมื่อไม่เห็นผู้เป็นพ่อลงมา แจ๊คจึงเดิน ไปตามที่ห้อง ณ ที่นั้น เขาได้พบชาย แก่คนนั้น นั่งเหม่อลอย ข้างๆมีไดอะรี่เก่าๆเล่มหนึ่ง ที่เพิ่งเขียนบันทึกในวันนี้เสร็จ แจ๊คถือวิสาสะเข้าไปอ่าน ความว่า... ครั้งหนึ่งเมื่อ 30 ปีมาแล้ว เรามี ลูกชายคนหนึ่งที่เรารักมาก เราตั้งชื่อเค้าเองว่า ...แจ๊ค วันในวันที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง ตอนนั้น แจ๊คกำลังพูดได้เก่งทีเดียว เราพาเค้าไปนั่งที่สวน หลังบ้าน พอดีมีวัวผ่านมา...แจ๊คถามเราว่า พ่อ นั่นอะไร...วัวไงลูก เราตอบ เวลาผ่านไปอีกไม่ถึง 1 นาที แจ๊คก็ถามคำถามเดิมเราอีก เราก็ตอบ เช่น เดิมอีก เป็นอย่างนี้อยู่ถึง 25 ครั้ง...เราไม่รู้สึก เบื่อหน่ายเลยที่จะตอบคำถามเดิมๆ เหล่านั้น เรา กลับรู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่ลูกสนใจ เราอย่างไม่เบื่อหน่าย.... แต่ในวันนี้ ณ ที่แห่งเดิม คน 2 คน ที่เคยถามคำถามเดียวกัน หากแต่ว่าเราเป็นฝ่ายถาม แจ๊คเป็นคนตอบ...เพียง 5 ครั้งเท่านั้น ลูกก็ตวาดเรา หาว่าเราเลอะเลือน รังเกียจแม้แต่จะคุยกับเราต่อไป....



เสียงสะท้อน (จากอินเตอร์เน็ต) new
พ่อและลูกชาย... กำลังเดินอยู่ในป่า ทันใดนั้น ลูกชายเดินไปเหยียบหนามแหลมทำให้เขาเจ็บปวดเลยร้องตะโกนลั่น "โอ๊ย" เด็กชายเกิดความประหลาดใจ เมื่อมีเสียงสะท้อนกลับมาจากภูเขา "โอ๊ย"เด็กชาย โกรธมาก เหมือนภูเขามาล้อเลียนเขา เลยตะโกนออกไปว่า "คุณเป็นใคร ทำไมมาล้อเลียนผม"แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาจากภูเขา คือเสียง "คุณเป็นใคร ทำไมมาล้อเลียนผม" เด็กชายหัวเสียมาก "คุณขี้ขลาด" ภูเขาไม่ยอมลดละด่ากลับมาว่า "คุณขี้ขลาด"

เด็กชายหงุดหงิดมาก เลยหันไปถามพ่อของเขาว่า นั่นมันเสียงอะไร พ่อบอกว่า "ตั้งใจฟังนะ" แล้วตะโกนก้องว่า "ผมชื่นชอบคุณ" ภูเขาตอบกลับมาว่า "ผมชื่นชอบคุณ" พ่อยังตะโกนอีกว่า"คุณเป็นคนพิเศษ" ภูเขาตอบกลับมาว่า "คุณเป็นคนพิเศษ" แต่เด็กชายยังไม่เข้าใจ

พ่ออธิบายว่า... คนเราเรียกเสียงนี้ว่าเสียงสะท้อน แต่จริงๆ แล้ว นี่คือชีวิต ชีวิตที่คุณจะได้รับอะไร ก็ต้องดูว่าเราได้ให้อะไรไปบ้าง ชีวิตก็เหมือนกับกระจกที่สะท้อนออกมาเมื่อเราต้องการความรักมากๆ เราก็ต้องรักคนอื่นมากๆ หากเราต้องการความเมตากรุณา เราต้องให้สิ่งเหล่านั้นไปก่อนถ้าลูกต้องการให้คนอดทนและนับถือเรา ลูกก็ต้องอดทนและนับถือคนอื่นก่อน นี่เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้



พ่อสอนลูกว่าด้วยเรื่องของตะปู (จากอินเตอร์เน็ต) new
มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนักพ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขาถุงหนึ่งและบอกกับเขาว่า “ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคนให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน” วันแรกผ่านไป....เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเขาไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัวและก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป

อย่างน้อยที่สุดเขาได้รู้ว่าสิ่งที่พ่อกำลังพยายามบอกกับเขาก็คือการรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบ ซึ่งง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะและแล้วหลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้นเขาจึงเข้าไปพบพ่อและบอกกับพ่อว่าเขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้วไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็น พ่อยิ้มและบอกกับลูกชายว่า“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้โดยทุกๆ ครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว”วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออกทีละตัว จาก 1 เป็น 2 .... จาก 2 เป็น 3จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกมา เด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า”ฉันทำได้ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ!!”

พ่อไม่ได้พูดอะไรแต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน และบอกกับลูกว่า“ทำได้ดีมาก ลูกพ่อและเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิเห็นไหมว่ามันไม่เหมือนเดิมไม่เหมือน.. กับที่มันเคยเป็น จำไว้นะลูกเมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผลเหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคนต่อให้พูดคำขอโทษสักกี่หนก็ไม่อาจลบความเจ็บปวดไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ฉันใดก็ฉันนั้น”

จากใจฉัน ถึงพ่อ
(เรียงความชนะเลิศประกวดเรียงความวันพ่อ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา อ.สามพราน จังหวัดนครปฐม )
พ่อ เป็นคำแรกในชีวิตของผมที่ผมสามารถพูดได้ ถึงพ่อจะมีเวลาให้กับผมไม่มากนักก็ตาม แต่ผมก็รักพ่อ ผมคิดว่าผมสามารถอยู่ดีกินดีได้อย่างทุกวันนี้ เพราะว่าพ่อและแม่ทำงาน ทำให้ครอบครัวอยู่อย่างมีความสุข พ่อของผมเป็นคนชอบกีฬามาก ทุก ๆเย็นหลังจากทำงานเสร็จพ่อจะออกกำลังกายทุกวัน พ่อของผมไปสอบอาจารย์ใหญ่ ผมอยากให้พ่อสอบได้ แต่ที่จริงผมไม่อยากเป็นลูกอาจารย์ใหญ่เท่าไหร่นักหรอก แต่ผมอยากให้พ่อภูมิใจในตัวเองว่าเราสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้เหมือนกัน พ่อเป็นคนจริงจังกับงานมาก แต่พ่อก็มีเวลาให้กับครอบครัวด้วยเมื่อโรงเรียนจัดไปเที่ยว พ่อก็พาผมไปด้วย ในรถมีคนเล่นการพนันกันมาก แต่พ่อของผมก็ไม่เล่นเพราะคิดว่าการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นไม่ขึ้นอยู่กับการเล่นการพนันเลย พ่อสอนผมว่าคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นไม่จำเป็นต้องเล่นการพนัน มันขึ้นอยู่กับความพยายามของเราต่างหาก ถึงพ่อกับผมจะไปเที่ยวแต่ขากลับพ่อก็ไม่ลืมซื้อของไปฝากครอบครัวและญาติพี่น้องเลย เนื่องในวาระที่ถึงวันพ่อนี้ ผมอยากให้พ่อมีความสุขตลอดไป

(เรียงความชนะเลิศประกวดเรียงความวันพ่อ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา อ.สามพราน จังหวัดนครปฐม )
พ่อมีพระคุณต่อผมมาก ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตามเพราะเลิกกับแม่ พ่อของผมเป็นพ่อค้า ตอนผมยังเด็กผมเข้าไปหาพ่อผม ผมมักจะไปยืนเกาะเสาอากาศ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน พ่อเห็นจึงเรียกผมเข้าไปหา พ่อจะให้เงินผม แต่มักจะให้สิบบาท พอผมโตขึ้นผมมักจะไปบ้านพ่อเสมอ ผมมักจะช่วยขายของผมมีพี่คนหนึ่ง ผมรู้สึกว่าพ่อจะรักพี่มากกว่าผม พ่อมักจะบอกกับคนอื่นเวลาเขาถามว่าผมเป็นหลาน ผมจะเสียใจและผมจะเดินกลับบ้าน แต่ผมก็กลับมาอีก พ่อเคยบอกว่าจะซื้อรถให้แต่ก็ไม่ซื้อ ผมไม่เสียใจหรอกเพราะผมไม่ต้องการ ถึงพ่อจะไม่เคยให้อะไรผมเลยแต่ผมก็รักพ่อ