4/29/2009

7 cities in NIPPON JAPAN!

Yokoso Japan ยินดีต้อนรับสู่ญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นประกอบด้วยเกาะกว่า 3,000 เกาะ เกาะใหญ่ๆ เช่น Hokkaido, Honshu, Shikoku และ Kyushu พื้นที่ส่วนมากเป็นภูเขาไฟเก่า ภูเขาที่สูงที่สุดคือ ภูเขาฟูจิ (Fuji) ประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน เป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆของโลก อายุยืนยาวมากที่สุดของโลก
ไปประเทศญี่ปุ่น Nipon กับแม่ครั้งแรกเดือนมีนาคม 2006 ตอนแรกก็คิดว่าจะไปกับทัวร์ดีไหม ราคาประมาณ 35,000 เป็นตห้นไป รู้สึกว่ามีหลายที่ๆอยากไป และไม่อยากไป Disneyland อยากไปเมืองหลักๆที่เคยได้ยินมาทั้งหมดเลย Tokyo-Hakone-Nagoya-Hida Tagayama-Kyoto-Nara-Osaka-Hiroshima-Miyajima ก็เลยต้องเริ่มทำการบ้านศึกษาตั้งแต่วางแผนขอวีซ่า ตอนนั้นเพื่อนจากญี่ปุ่นให้เอกสารเชิญประกอบในการขอวีซ่า เรื่องตั๋วเครื่องบินหาไม่ยาก ประมาณ 20,000 บาทไปกลับ จากนั้นก็ดูเรื่องการหาที่พัก จาก http://www.jnto.go.jp/eng/ ตอนนั้นจองที่พักล่วงหน้าทุกเมืองที่ไป ผ่านทางเว็บ http://www.japanhotel.net/ นอกจากนั้นเนื่องจากเราตั้งจะไปหลายเมือง ก็เป็นตั๋วรถไฟ Japan Rail Pass http://ww.japanrailpass.net/ สามารถใช้นั่งรถไฟหัวจรวด (Shinkansen) ซึ่งเร็วมากมองแทบไม่เห็นทาง นับเป็นรายวัน แต่ถ้าคนที่จะอยู่ใน Tokyo ก็ไม่จำเป็น แต่ต้องเตรียมล่วงหน้า เพราะต้องซื้อจากนอกประเทศญี่ปุ่น สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น Yokoso องค์การท่องเที่ยวของญี่ปุ่นแพ๊คเกจ ข้อมูล ตอนนั้น ซื้อหนังสือทัวร์มา 2 เล่ม เที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตะลุยญี่ปุ่น เล่ม 1 เล่ม 2 เป็นการทำการบ้านไปในตัว

ฤดูกาลที่น่าไปก็น่าจะแล้วแต่คนชอบ แต่ที่ตั้งใจไปก็ไปดูซากุระบาน ปลายเดือนมีนาคม ถึงต้นเดือนเมษายน แล้วแต่ปี เป็นช่วงฤดูใบไม่ผลิ ซึ่งก็ยังหนาวหน่อย ประมาณ 5-15 องศาเซลเซียส บางคนอาจชอบหิมะอยากเล่นสกีทางตอนเหมือนซึ่งก็คงต้องเป็น ฤดูหนาว อาจจะสำหรับที่พักที่ก็มีหลายแบบสำหรับเช่น โรงแรมแคปซูล ที่พักแบบเรียวกังมีทั้งเสื่อทาทามิ สวมชุอยูกาตะ ประตูเลื่อน มีคนอาหารให้ ปูที่นอนได้อารมณ์มาก ที่พักสำหรับเยาวชนก็เป็ฯแบบลุยๆ โรงแรมราคากลางๆก็สะดวก แต่ต้องบอกว่าที่ญี่ปุ่นทุกอย่างเล็กกระทัดรัดมาก ในห้องนี่เปิดมาแล้วใจหาย เหมือนบ้านคนแคระ ของในห้องมีครบถ้วน ทุกสิ่งให้เลือกสรร เตียง กาต้มน้ำ มีชุดนอนยูกาตะ ให้ใส่ ห้องน้ำ เพียงแต่ทุกอย่างเหมือนขนาดย่อส่วน นี่ถ้าคนตัวใหญ่มา แบบไซส์ฝรั่งคงลำบาก

ส่วนอาหารการกิน ที่จำได้ก็คือก๋วยเตี๋ยวตามสถานีรถไฟ อุ่นท้อง รวดเร็ว ราคาย่อมเยา และอร่อย หรือร้านข้างทางที่เป็นหยอดเหรียญมีตัวอย่างอาหารอยู่ข้างหน้า ก็สะดวก อันไหนถูกใจก็ใส่เหรียญกด ไม่ต้องสื่อสารมาก หรือถ้าจะเอาง่ายสะดวก ก็มีร้านขายของชำมินิมาร์ท Family Mart หาของกินได้ตลอด การดื่มชา (tea drinking) โดยเฉพาะชาข้าว ข้าวเป็นอาหารหลักเช่น ซูชิ sushi ปลาดิบ shashimi ข้าวหมูทอด tonkatsu บางทีเส้นก๋วยเตี๋ยวเสิฟกับน้ำซุป เป็นโซบะเย็น โซบะร้อน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 12-20% หมักจนเป็นสาเก (sake) โอ้ อีกอย่าที่ต้องพูดถึงคือปลาหมึกทาโกะ tako และที่ที่เราดรยกว่า ขนมครกใส่ปลาหมึกทาโกะยากิ (takoyaki) เสียดายเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ชิมเนื้อวันโกเบ kobe ที่ขึ้นชื่อ


Tokyo - กรุงโตเกียว

ลงจากสนามบินนาริตะ Narita ก็นั่งรถไฟเข้าเมืองไปพักแถวย่านอูเอโนะ Ueno ที่จองไว้ล่วงหน้าชื่อ Oak Hotel เป็นโรงแรมกลางๆ แต่ก็ใช้ได้เลย เข้าไปยืมดูตารางรถไฟเข้าเมืองก็อึ้งไปเลย ซับซ้อนมาก ก็ต้องค่อยๆ แกะกันไป ที่อ่านหนังสือทัวร์มาคร่าวๆ ก็ต้องไป Akibara ย่านคอมพิวเตอร์ ไปดูสาวน้อยแต่งตัวแปลกๆ Shinjuku เป็นย่านที่คนเยอะมากๆ ไปดูคนข้ามถนน Harajuku เป็นย่านที่แปลกมากจริงๆ ไปนั่งอยู่ที่ McDonald พวกวัยรุ่นลากกระเป๋าไปเปลี่ยนชุด ใช้กาวหรือสก็อตเทป ยังงัยก็นึกไม่ออก พวกเรา ว่าพวกนี้ถ้าโตแล้วจะเปลี่ยนเป็นเป็นพวกที่เรียบร้อยที่เจอในรถไฟได้อย่างไร Asakusa ไปดูระฆัง มีร้านขายของทุกอย่างดูน่ารักไปหมด Palace ไปเจองานแต่งงานพอดี รถไฟ JR-line ที่ใช้บ่อยเช่น Yamanote ผ่านสถานี Takadanobaba, Shin Okubo, Shinjuku

Meiji Shrine เป็นศาลในสวนสาธารณะใหญ่ ตั้งใกล้ Shibuya เป็นอนุสรณ์แด่จักรพรรดิสมัยเมจิ เดินเข้าไปแล้วรู้สึกสงบร่มเย็น ปัจจุบันคนมาใช้เป็นที่ทางศาสนา และผ่อนคลาย ก็จะเห็นคนใส่กิโมโนเดินกัน มาเป็นครอบครัว และใช้ในงานแต่งงานแบบของชินโต

Asakusa อาซากุซะ วัดเก่าแก่ของกรุงโตเกียวเป็นย่านที่มีชื่อเสียงสำหรับ วัดใหญ่เซนโซจิ Senso-ji เป็นวัดที่ค่อนข้างกว้าง มีหลายอย่างให้ดู โคมไฟขนาดยักษ์ที่เป็นสัญลักษณ์ สร้างสีสัน ใช้ในพิธีการต่างๆ ข้างหน้ามีร้านขายของมากมาย ทั้งของกินของเล่นของฝาก โดยเฉพาะการแพ็คของเขาน่ารัก เป็นสไตล์ญี่ป่นคิคขุมาก เป็นที่ถูกอกถูกใจของนักท่องเที่ยวมาก



Akihabara อากิฮาบาร่า เป็นย่านอิเล็กโทรนิคส์ ซึ่งไม่ห่างจาก จากสถานีรถไฟมาก โดยเฉพาะเวลากลางคืน แสงสีทุกตึก ของทันสมัยมากมาย ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายรูป มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เหมือนแกะออกมาจากแคทตาล็อคนำสมัยเลย ร้านเกมส์ ร้านขายหนังสือการ์ตูน มังงะ (manga) ต่างๆ อีกอย่างก็ไปดูสาวน้อยแต่งตัวเป็นสาวเสริฟอาหารคล้าย ชุดนักเรียนกระโปรงสั้นๆ ชักชวน และต้อนรับให้เข้าไปร้านกาแฟคาเฟ่ Maids Cafe, Cosplay Cafe จะกล่าวต้อนรับแขกที่เข้ามาว่า ทั้งเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญที่เป็นลูกค้า เป็นวัฒนธรรมที่แปลกตามาก

Shinjuku ชินจูกุ เป็นหนึ่งใน 23 เขตพิเศษในกรุงโตเกียว ทั้งทางด้านธุรกิจและศูนย์ราชการ สถานีรถไฟเป็นที่วุ่นวายอันดับต้นๆของโลก แม้จะมีความเป็นเมืองมาก แต่ชินจูกุก็มีชื่อด้านสวน Shinjuku Gyoen ที่สวยงามทั้ง 4 ฤดู โดยเฉพาะในช่วงซากุระบาน

Harajuku ฮาราจูกุ ขึ้นรถไฟ JR Yamanote ไปลงย่านชิบูย่าเดินไปไม่ไกล ก็เป็นย่านที่มีชื่อเสียงในความแปลกตาของการแต่งตัวของวัยรุ่น แบบแรงโดยเฉพาะวันอาทิตย์ เด็กเขากล้ามาก แต่งตัวแรงแต่เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว ยินดีให้ถ่ายรูป น่ารักมาก แต่งตัวสไตล์โกธิค เดินไปตามถนนก็เป็นร้านฟาสต์ฟูดส์ต่างๆ ร้านเครปมีตัวอย่างให้ดู น่าทานมาก ถนนเดินซื้อของเช่น Omotesando และ Takeshita มีเสื้อผ้าหลายสไตล์ไม่ว่าเป็นฮิบฮอป hiphop ร็อค rock พังค์ punkแถวนั้นมีร้าน McDonald ซึ่งจากการสังเกตการณ์เห็นเด็กวัยรุ่นลากกระเป๋ากันมาแต่งตัว กันตรงนั้น ทั้งยัดทั้งใช้สก็อตเทปติดช่วย ดูเขาก็สนุกมีความสุขดีที่ได้มีอิสระในการแสดงออกอย่างเต็มที่ เราก็ยังงงว่าเวลาออกจากบ้านก็คงจะเรียบร้อย กลับบ้านก็คงอยู่ในกรอบ พอโตขึ้นก็คงจะเรียบร้อยใส่สูทเหมือนที่เห็นในรถไฟใต้ดิน เป็นสังคมที่แปลกมากจริงๆ

Shibuya ชิบูย่า เป็นถนนย่านธุรกิจที่คนหนาแน่น ย่านสรรพสินค้าโดยเฉพาะวัยรุ่น ที่จะเห็นกันบ่อยก็คือคนเดินไปมาข้ามถนนไฟจราจร พอไฟเขียวทีนี่มึน ไม่รู้มาจากไหนกันเยอะมาก แต่คนเขาก็เป็นระเบียบมาก สถานีรถไฟนั้นก็คนเยอะแต่ก็ต่อแถวกันเป็นระเบียบ ช่วงเวลาคนออกไปทำงานนี่ แถบจะต้องมีเจ้าหน้าที่ดันคนเข้าไปในรถไฟใต้ดิน ยังดีบางตู้เป็นแบบหญิงล้วน คนแทบจะเกยกัน

Hida-Takayama ฮิดะ ทาคายาม่า

หลังจากเที่ยวที่โตเกียว 3-4 วัน ก็ถึงเวลาออกจากเมืองไปดูข้างนอกบ้าง หลังจากไปเช็คที่นั้งสำหรับ JR-Pass ที่สถานีรถไฟก็เริ่มออกเดินมางเมืองแรกที่ไปลงเจอเพื่อนที่ นาโกย่า (Nagoya) เป็นเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเจนีวาชื่อ Kayo ซึ่งจริงๆแล้วพ่อแม่เขาเป็นคนเกาหลีใต้ ถึงแม้เขาจะเกิดญี่ปุ่นก็ต้องถือใบต่างด้าว สังเกตว่าถ้ามีคนถาม เขาจะตอบว่า I am from Japan ฉันมาจากประเทศญี่ปุ่น และเลี่ยงการตอบว่า I am Japanese ฉันเป็นคนญี่ป่น เป็นความแตกต่างที่น่าสนใจ ตอนที่เริ่มรู้จักกัน เขาฝึกงานอยู่ที่หน่วยที่เราทำงานอยู่ เป็นคนที่ไปนีซ และโมนาโคด้วยกัน ก็เลยทำให้สนิทกันมากขึ้น เขาย้ายมาเมืองไทยพักหนึ่งด้วยทำงานกับองค์กรสหประชาชาติเมืองไทยเกี่ยวกับการต่อต้านการขนส่งคนข้ามประเทศอย่างผิดกฎหมาย (trafficking and smuggling) ตอนนั้นก็ไปช่วยงานเขาบ้าง พาเขาเที่ยวบ้าง ดูเขามีความสุขกับเมืองไทยมาก ตอนหลังย้ายไปที่องค็กรสหประชาชาติสายการพัฒนาที่ญี่ป่น และล่าสุดได้ข่าวว่าย้ายไปทวีปแอฟริกา เป็นหญิงสาวเก่งที่น่าชื่นชมทีเดียว

ตอนนั้นนัดเจอกันที่สถานีรถไฟนาโงย่า บ้านเขาอยู่ชานเมืองต้องเดินทางเข้ามา บ้านเขาอยู่ชานเมือง ได้ข่าวว่าบ้านในประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างมีที่จำกัดก็เลยไม่อยากรบกวนเขา โรงแรมในเมืองนาโงย่าก็สะดวกมาก พอเขาซื้อตั๋วรถไฟจะไปฮิดะ ทากายาม่า เราก็เพิ่งรู้ว่าถ้าซื้อรถ JR โดยไม่ได้ใช้ตั๋วแบบเรานี่ราคปกติแพงมาก นี่ถ้าไม่ได้ซื้อตั๋วมาจากเมืองไทย คงแพงมาก พอไปถึงฮิดะ ทากายาม่า เมืองเขาน่ารักมาก มีถนนที่ยังคงความเป็นแบบโบราณอยู่หลายเส้น มีเป็นร้านขายชาข้างทาง ขายของกระจุกกระจิก เมืองไม่ใหญ่มากเดินไปเดินมาไม่นานก็ทั่ว แต่ว่าประทับใจมาก เมืองเขาอนุรักษ์ไว้อย่างดีได้ความรู้สึกสมัยก่อน

Hakone-Fuji ฮาโกเน ภูเขาฟูจิ

ออกไปจากโตกียวไม่นานก็จะถึงฮาโกเน อยากจะไปเห็นภูเขาฟูจิที่เลื่องชื่อ ในวันที่อากาศดึ หมอกไม่หนาก็จะสามารถเห็นฟูจิได้จากระยะไกล ตอนนั้นไปตอนสิ้นหน้าหนาว แต่ก็ยังเห็นหิมะขาวโพลนปกคลุมยอดเขา พอลงจากสนาถีรถไฟก็ต่อรถเมล์มุ่งน่าไปยังทะเลสาปอะชิ (Ashi) นั่งเรือวนไปดูภูเขาฟูจิ เนื่องจากบริเวณของภูเขาอมความร้อนจากที่เป็นภูเขาไฟ จึงมีแหล่งน้ำร้อนที่มีชื่อเสียง ถ้าไปให้ถึงญี่ป่น ก็ต้องมีโอกาสได้ไปอาบน้ำแร่ออนเซนเพื่อธรรมชาติ (Onsen) ตอนไปฮาโกเน ไปพักที่โรงแรมแบบเรียวกัง Kappa Tengoku ดูจากแผนที่ว่าไม่ไกลจากสถานีเราก็หาไม่เจอถามคนเขาก็ชี้ขึ้ฟ้าเราก็งง ที่ไหนได้ พอชะโงกหัวออกไปดูโรงแรมอยู่บนเขานั่นเอง เป็นการทดสอบความอดทนในการปีนเขา โรงแรมเป็นแบบเรียวกัง แต่ไปเห็นบ่อน้ำแร่เขาก็หายเหนื่อย มีแยกชายหญิง น้ำไหลลงมาจากภูเขา แช่น้ำไปมองมองออกไปเป็นธรรมชาติมาก เนื่องจากแม่ค่อนข้างเขินอายในการอาบน้ำรวม แตงก็เลยต้องเปเป็นเพื่อนแต่เช้าตรู่ตอนยังไม่มีคนลงมา อยากได้เป็นบ่อส่วนตัวบ้างจริงๆๆ

Himeji Osaka ฮิเมจิ โอซาก้า

เมืองต่อไปที่และลงไปดู ระหว่างต่อรอรถไฟ คือ ฮิเมจิ ตั้งใจไปดูปราสาทขาวหลายชั้น แม่เดินไม่ไหวแตงก็รีบจ้ำ เดินตรงอย่างเดียวเด่นเป็นสง่า แต่ไม่ได้อยู่นาน รีบกลับมาขึ้นรถไฟต่อไป เมืองโอซาก้าก่อนค่ำ ตอนนั้นตั้งใจไปเยี่ยมเพื่อนที่คณะเศรษฐศาตร์ ธรรมศาสตร์ กลุ่มแมงโม้ด้วยกัน เขาตามแฟนมาอยู่ที่โอซาก้า จำได้ว่าที่โอซาก้า โรงแรมเยอะ และราคาไม่แพง ดูเป็นเมืองที่คนมาพัก

นัดเจอเพื่อนแถว Niponbashi เด็น เด็นทาวน์ (Den Den Town) ซึ่งเป็นเมืองอิเล็คโทรนิคส์ คล้าย อาคิฮาบาร่าที่โตเกียว มีร้านหนังสือการ์ตูน และร้านกาแฟอาหารแบบสาวน้อยต้อนรับเช่นกัน ตอนนั้นก็จะไปเล็งกล้องถ้ายรูปตัวใหม่เหมือนกัน อันเก่าเป็น Konica Minolta แบบดีแต่หน้าจอเล็กไปหน่อย ไหนๆก็ไปถึงถิ่นแล้ว โชคดีที่แฟนเพื่อนเป็นคนท้องถิ่น เขาก็ช่วยต่อรองให้ นี่ขนาดในห้างอย่าง Bic Camera ก็ยังทั้งใช้ส่วนลดคนต่างชาติ ทั้งใช้บัตรสมาชิก ลดกันสนั่น ก็ได้ Casio Exilim มา ดูไปดูมาก็ถูกใจคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว เครื่องเล็ก เครื่องเก่าเป็น Dell ซื้อจากอเมริกานานแล้ว น่าจะได้เวลาถอยใหม่ ก็โทรศัพท์กับเมืองไทยไปเช็คราคาเห็นที่นี่ ถูกกว่าเกือบ 40% ที่หวั่นใจอยู่อย่างก็คือตัวรับประกันไม่ทั่วโลก และตัวโปรแกรมทุกอย่างเป็นภาษาญี่ป่น แต่ก็เอาละเลยตัดสินใจซื้อเป็นของที่ระลึกซะเลย หลายปีแล้วก็ไม่เคยมีปัญหาเลย โชคดีไป อิอิ

Nara นารา

เมืองนารา แวะลงไปเพื่อดูวัดที่มีชื่อเสียง จากพอลงที่สถานี ก็ขึ้นรถเมล์เข้าไป ค่อนข้างสะดวก พอเริ่มเข้าใกล้วัด ก็เห็นกวางเดินไปเดินมา ได้ข่าวว่ามีกว่าพันตัว ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ที่คนให้เกียรติ ก็เลยปล่อย ให้เดินเป็นอิสระ เดินไปไม่ไกลก็ถึง วัดโตได (Tōdai-ji) ซึ่งเป็นที่อนุรักษ์มรดกโลกของ องค์กรยูเนสโก UNESCO มองเข้าไปเป็นวัดที่ดูยิ่งใหญ่ พระใหญ่ในนั้นถือว่าเป็นพระที่ทำจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Kyoto - เกียวโต

จากเมืองนารา เราก็มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงเก่า เมืองเกียวโต ซึ่งเป็นเมืองบนเกาะส่วนฮอนชู (Honshu) ตอนนั้นเลือกพักที่เรียวกังชื่อ Tomiya จองไว้ล่วงหน้า ซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟมาก ที่พักค่อนข้างคลาสสิคมากได้บรรยากาศ มาเมืองเก่าจริงๆ ตั้งใจไปดูพระราชวังอิมพีเรียล สวนญี่ปุ่น และวัดที่มีชื่อเสียงหลายที่ เดินทางในเกียวโตด่วยรถเมล์สะดวกมากสำหรับนักท่องเที่ยว วัดที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งคือ วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu) ซึ่งมีระเบียงไม้ที่อยู่บนเนินเขา ใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการเดินขึ้นไป ซึ่งแม่หมดแรงกลางทาง ทางเดินแคบๆ ชันๆ และคนเยอะ แต่พอขึ้นไปเห็นก็หมดแรง หายเหนื่อย สวยสมคำร่ำลือ

วัดอื่นที่น่าดู คือ Kinkakuji วัดตำหนักทอง Ginkakuji วัดตำหนักเงิน Ryoanji ซึ่งมีวัดที่มีหินที่มีชื่อเสียง ที่น่าสนใจมากอีกที่ คือ กิออน (Gion) ซึงเป็นย่านที่มีสาวงาม เกอิชา (geisha) ซึ่งจริงๆแล้วความหมายคือ ศิลปิน ด้วยความสามารถการร้องเพลง เต้นรำ จัดดอกไม้ และการสนทนาเป็นเพื่อนสุภาพบุรุษที่ต้องการเพื่อนคุย เข้าไปย่านนั้นได้เห็นเหทือนกันดูเรียบร้อยมีความเป็นกุลสตรีมาก ได้เจอรุ่นเล็กที่ฝึกงานด้วย เป็น สาวไมโกะ maiko

Hiroshima-Miyajima ฮิโรชิมา มิยาจิมา

นั่งรถไฟถึงเรื่อยๆ ก็และระหว่าง (อีกแล้ว) ที่สะพานที่มีชื่อเสียง ชื่อ สะพานคินไต (Kintai) เป็นสะพานห้าโค้ง ในเมือง อิวาคูนิ Iwakuni ย่านยามากูชิ แวะไปถ่ายรูปไม่นาน ก็ไปเมืองต่อไป คือ ฮิโรชิมา (Hirochima) ไปเคารพอนุสรณ์ของผู้ที่โดนปรมาณูปี 1945 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟไปเมืองต่อไปไม่ไกลชื่อ มิยาจิมา (Miyajima) ข้ามเรือไปดู ซุ้มประตูสีแดงในน้ำ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในมรดกโลก
ขอทิ้งท้ายว่าประทับใจกับประเทศญี่ปุ่นมาก เป็นการผสมผสานของการอนุรักษ์ของวัดต่างๆ และความทันสมัยของเมืองและ เทคโนโลยีต่างๆ ภาพของคนใส่สูทคล้ายกันหมดในรถไฟใต้ดินไปทำงาน วัยรุ่นที่มีสไตล์ที่แตกต่าง และภาพของซากุระที่บานรับฤดูกาลใหม่ จะอยู่ในความทรงจำไปอีกนาน ครั้งนี้ก็ต้องขอซาโยนาระกันก่อน

Paris-Monaco-Amsterdam-Vienna-Munich-London-Barcelona

การเดินไปเที่ยวในยุโรปเหมือนกับเป็นการต่อภาพ (jigsaw puzzle) ทางประวัติศาตร์ ผ่านเวลาจากสมัย อียิปต์ 5,000 ปีก่อน ถึงกรีกโบราณ จนถึงการพัฒนาการของโลกตะวันตก ตั้งแต่ฐานความคิดปรัชญา ของอริสโตเติล (Aristotle) โซเครติส (Socrates) พลาโต(Plato) ไปจนพื้นฐานความรู้ทางด้านวิทยาศาตร์ ในยุคของโรมันซึ่งเป็นฐานความรู้ด้านกฎหมาย ภาษา และ หลังจากการเสื่อมลงของ ทางด้านตะวันออกนั้นก็มีความรุ่งเรืองของไบเซนต์ไทน์ (Byzantine Empire) ตั้งอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล หรือประเทศตุรกี ซึ่งก็ตามมาด้วยยุคของออตโตมัน (Ottoman Empire) ในยุคกลางฐานทางด้านสังคมเดจาก 2 ประเทศหลัก คือประเทศอังกฤษ และประเทศฝรั่งเศส ในประเทศอิตาลียุคเรอเนซองต์ (Renaissance) เป็น ตั้งแต่สมัย ค.ศ. 1400-1600 เป็นความรุ่งเรืองทางด้านศิลปะ ปรัชญา ดนตรี ซึ่งรวมทั้ง ราฟาเอล (Raphael) ไมเคิลแองเจลโล (Michelangelo) และดาวิชชี (Leonardo da Vinci)ที่กล่าวไปแล้วในบทก่อน ยุคต่อไปเป็นการค้นพบ (Age of Discovery) โดยเฉพาะ ในสมัย ค.ศ. 1500 ของประเทศโปรตุเกศ และประเทศสเปน กับการล่องเรือไปโลกใหม่ของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาใต้ ปรเทศฝรั่งเศส อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มออกหาอาณานิคมทางทวีปเอเซีย และแอฟริกา ในสมัย ค.ศ. 1800 การเกิด French Revolution และ British Industrial Revolution ช่วยส่งเสริมคนชั้นกลาง การเลิกทาส การสาธารณสุข เป็นรากฐานที่สำคัญของโลกปัจจุบัน


France/République français

ประเทศแรกที่จะพูดถึง คือประเทศเพื่อนบ้านติดกับ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ยู่เจนีวา ก็ออกไปจ่ายตลาดที่ฝั่งฝรั่งเศส นั่งรถสาย F ไป Ferney Voltaire แต่ก็รู้สึกแปลกๆ ที่เวลาจ่ายตลาดต้องพกหนังสือเดินทาง (Passport) ไปด้วย เพราะว่าที่สวิสเวอร์แลนด์เราอยู่ด้วย บัตรทำงาน (Carte de légitimation) ซึ่งต่อตามสัญญาจ้างงาน ดังนั้นเวลาเข้าออกประเทศอื่นในยุโรปเราต้องขอวีซ่าต่างหาก เคยมีเหมือนกันที่ไม่ได้เอาไป เจอตำรวจคนเข้าเมืองขึ้นมาตรวจบนรถเมล์ ก็ต้องเดินเชิญลงตามระเบียบ แต่เขาใจดี และสุภาพ เราก็พูดกับเขาดีๆ เพราะก็ไม่ได้ตั้งใจฝ่ากฏ แต่ก็ต้องลงจากรถ เดินข้ามกลับไปขึ้นรถเมล์ฝั่งสวิสกลับ อีกครั้งออกไปเล่นสกีกับที่ทำงาน อันนั้นวีซ่าหมดด้วย เขาก็ยังแซวว่าถ้าโดนเรียกตรวจนี่มีได้อาย เพราะทั้งรถทำอยู่กับองค์กรอพยพ ก็เข้าใจเขานะ โดยเฉพาะตอนนี้เป็น Schengen วีซ่า เข้าได้ประเทศหนึ่งก็ไปมาได้หลายประเทศ เขาก็ต้องเข้มงวดเป็นธรรมดา

ประเทศฝรั่งเศสที่คนรู้จักจากภาษา วัฒนธรรม ความโรแมนติค เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะ กรุงปารีส (Paris) เป็นเมืองที่คนไปท่องเที่ยวอันดับต้นๆของโลกด้วย โดยเฉพาะ หอไอเฟิลเหล็กที่มีชื่อเสียง (Eiffel Tower) เป็นครั้งแรกจากตอนนั่งเรือล่องแม่น้ำแซน (Seine) มหาวิหารนอร์ทเตรอดาม (Notre Dame) โดดเด่นด้วยศิลปะแบบกอธิค ที่มาของเรื่องคนหลังค่อมแห่งนอร์ทเตรอดาม Hutchback of Notre Dame พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre Museum) ที่มีของตั้งแต่สมัยอียิปต์ โรม ไบเซนไตน์ รวมทั้งรูปวาดโมนา ลิซ่า (Mona Lisa) ที่โด่งดังของลีโอนาโด ดาวินชี (Da vinci) ตอนเข้าไปดูนี่คนเยอะมาก และพิพิธภัณฑ์ก็ใหญ่มาก ของน่าดูเยอะมาก นอกจากนั้น จตุรัสคองคอร์ด (Place de Concorde) ที่ระลึกถึงการทำ กีโยติน (guillotine) แท่งหิน Obelisk ที่กล่าวถึงในบท อียิปต์ ตอนเห็นก็ยังคิดว่าการขนย้ายนี่คงลำบากเหมือนกัน พระราชวังแวร์ซายส์ (Château de Versailles) ออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร

เรื่องราวของพระนาง Marie Annoinette ที่เป็น Archduchness ของออสเตรียและ เป็นราชินีของประเทศฝรั่งเศส ในช่วงปฏิวัติระบอบราชวงศ์ฝรั่งเศส พระนางมารีโดนกีโยติน ประโยคสุดท้ายที่พระนางพูด คือ Monsieur, je vous demande pardon. Je ne l'ai pas fait exprès.. Pardon me, monsieur. It was not on purpose. ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้เจตนา (ที่พระนางเหยียบเท้าคนประหารอย่างไม่ได้ตั้งใจ)

ฝรั่งเศสก็มีชื่อเสียงอีกหลายด้านไม่ว่าจะเป็น ทางด้านแฟชั่นชั้นสูง (Haute couture) เช่น Champs-Élysées ถนนช็อปปิ้งหรูที่มีชื่อเสียง ชาแนล Coco Chanel, วิตตอง Louis Vitton, Versace เวอร์ซาเช, ดิออร์ Christian Dior พูดถึงฝรั่งเศส ผู้ชายอาจนึกถึงกีฬา เช่น จักรยาน Tour de France หรือ เทนนิส French Open


French Riviera/Côte d'Azur

ทางใต้ของฝรั่งเศสเป็น อากาศแบบเมดิเตเรเนียน อุณหภูมิอ่นุเกือบตลอดทั้งปี เมืองที่เคยไปคือ Nice ออกเสียงว่า นีซ หน้าแตกมาแล้วเหมือนกัน เราก้าเมืองอะไรชื่อน่ารักจัง ก็เป็นเมืองริมทะเล แต่ทะเลบ้านเราก็สวยเลยไม่ได้ตื่นเต้นมาก แต่ฝรั่งหนาวๆไม่ค่อยเจอแดดคงชอบ แทบไม่ได้ถ้ายรูปเลย ในเมืองก็เป็นแหล่งขาย อีกเมืองที่คนทั่วไปน่ารู้กดีกว่าคือ คานส์ Cannesที่มีงานภาพยนตร์ ประจำปี (Annual Cannes Film Festival) เป็นย่านค่อนข้างหรูด้วยบ้านตากอากาศ โรงแรม และร้านอาหาร

อีกเมือง อืม จริงๆแล้วเป็นประเทศที่อยากแนะนำคือ โมนาโค (Monaco) นั่งรถไฟเข้าไปไม่ไกล เป็นประเทศเล็กๆ (ว่ากันว่าเดินประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ครบประเทศ) ใช้ภาษาฝรั่งเศส การทหารขึ้นกับฝรั่งเศส คนส่วนมากเป็นชาวต่างประเทศ ฐานะค่อนข้างดี พูดถึงประเทศโมนาโค คงไม่พูดถึง เจ้าหญิง Grace Kelly ไม่ได้ หลังาที่เธอแต่งงานกับเจ้าชาย Rainier III ในปี 1956 เหมือนในนิยายเลย ตอนปี 1981 (ซึ่งเป็นปีที่เราเกิดเป็นปีฉลองแต่งงานครบ 25 ปีของพระองค์ :) The rest is legend...ที่เหลือก็เป็นนิยาย

Amsterdam - The Netherlands

ประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือที่บางคนเรียกว่าฮอลแลนด์ (Holland) ตอนนั้นไปจากเจนีวา แบบไปเช้าเย็นกลับ กับแม่และรุ่นพี่คนไทยที่ทำงานชื่อพี่เกรียง พี่เขาทำงานกับองค์การมานานด้านระบบคอมพิวเตอร์ เคยไปประจำที่โคซาโว (Kosavo) หลายปี แต่ทำงานที่อัมมาน (Amman) ประเทศจอร์แดน ลุยมากเรื่องพี่เขาน่าสนใจ โอเคต่อ พวกเราก็ไปด้วยเครื่องบินแบบประหยัด (low-cost) ของ Easy Jet ไปถึงก็ซื้อทัวร์แบบครึ่งวันของเขาจากสนามบิน เป็นผู้หญิงขับรถตู้ ขับเอง เป็นไกด์ครบวงจรมาก แรกเลยก็ขับออกไปนอกเมืองก่อนไปดูที่ทำรองเท้า และกังหันลม แต่พอดีไม่ใช่ฤดูก็เลยไม่ได้ออกไปหาดอกทิวลิป พอเข้าเมืองเจ๊แกขับซิ่งด้วย เนื่องจากเนเธอร์แลนด์มีคูคลองเยอะ เลี้ยวทีก็เสียวที ผังเมืองของเมืองอัมสเตอร์ดัมน่าสนใจ เขาทำทางให้คนขี่จักรยาน ค่าภาษีรถยนต์ ปละค่าจอดรถในเมืองแพงมาก เห็นลานจอดรถจักรยานแล้วตกใจเยอะมากๆเป็นพันๆคัน แล้วจะหากันเจอไหมเนี่ย กรุงอัมสเตอร์ดัมมีสถานที่ที่มีชื่อเสียงหลายที่ที่ได้เห็นในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นคลองเก่าแก่ พิพิธภัณฑ์ ย่านสีแดง (Red Light district)

ขอพูดถึง สองพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ แห่งแรกชื่อ Riksmuseum เป็นที่รวมของศิลปะดัทช์ ศิลปินท่านแรกที่นึกถึงคือ Rembrandt อีกท่านที่เป็นศิลปินชาวดัทช์ที่ชื่นชมคือ Johannes Vermeer การใช้สีและแสงของท่านเช่นงานที่เป็นผู้หญิงโพกผม ตะแคงหน้า จากเรื่อง The Girl with the Pearl Earring อีกแห่งก็ พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ (Van Gogh Museum) ซึ่งเน้นถึงผลงานช่วงแรกของท่าน ผลงานของท่านรวมกว่า 2,000 ชิ้น ในช่วง 10 ปีสุดท้าย งานที่มีชื่อเสียงบางชิ้น เช่น Aardappeleters/The Potato Easters ก็อยู่ที่นี่แต่ที่ประทับใจมากๆ คือจดหมายที่ท่านเขียนติดต่อถึงน้องชายท่าน กว่า 600 ฉบับ ทำให้เห็นถึงความผูกพันระหว่างพี่น้อง และความสำคัญของการสนับสนุนของครอบครัว งานเกี่ยวกับครอบครัวอีกเรื่องที่ได้ไปสัมผัสคือ บ้านของ แอน แฟรงค์ (Anne Frank Museum) ซึ่งไดอารีของ หนูแอนระหว่างสองปีที่เธอและครอบครัวหลบซ่อนตัวทางข้างหลังของตึก ในช่วงนาซี ได้มีโอกาศเข้าไปดูในบ้าน และห้องต่างๆที่เป็นที่หลบซ่อน Secret Annex ก่อนที่จะถูกจับและส่งไปค่ายกักกัน พ่อของเธอ Otto Frank รอดชีวิตและได้นำไดอนรีนี้มาเผยแพร่ ให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึงประสบการณ์ของเธอ

Vienna/Wien - Austria

ไปเวียนนา ประเทศออสเตรีย และมิวนิค ประเทศเยอรมันกับแคร์รอล ช่วงปี 2004 ไปเที่ยวสั้นๆระหว่างสุดสัปดาห์อย่างนี้บ่อย ตั๋วนาทีสุดท้าย ออกวันศุกร์ กลับวันจันทร์ เข้าที่ทำงานเลย จนหัวหน้าแซว ว่าเที่ยวจนโทรม

กรุงเวียนนา (Vienna) เป็นเมืองหลวง ขนาบกับแม่นำดานูป ตอนนั้นไปเป็นช่วงสุดสัปดาห์พิเศษที่พิพิภัณฑ์ตอนเที่ยงคืน ก็มีดโอกาศได้เดินกันเต็มที่ แหล่งที่เที่ยวหลักรวมทั้งพระราชวัง Hofburg และพระราชวัง Schönbrun ซึ่งโอ่อ่าด้วยเนื้อที่ และการจัดสวนที่สวยงาม แต่ที่น่ารัก็คืออพาร์ทเมนต์ Hundertwasser House Vienna ซึ่งกลายเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวไป Vienna International Centre เป็นที่ตั้งขององค์รสหประชาชาติหลายด้าน เช่น International Atomic Energy Agency และ United Nations Office on Drugs and Crime

กรุงเวียนนาเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการดนตรีจาก Mozart (1756-1791) Beethoven (1770-1827) และ Johan Strauss (1825-1899) โรงละครที่มีชื่อเสียงเช่น Burgthearer - Imperial court Theatre, Wiener Musikverein, Theater an der Wien และ Haus der Musik รวมถึงงานเต้นรำที่มีชื่อเสียง Vienna balls (ที่อาจจะรู้จักที่มาของ Viennese Waltz)

นอกจากดนตรีแล้ว พิพิธภัณฑ์ต่างๆก็เป็นที่น่าสนใจ ในพระราชวัง Hofburg ก็มีการการจัดแสดงเครื่องประดับของราชวงศ์ Sisi Museum, ตรงข้าม พระราชวัง Hofburg ก็มี Kunsthistorishes - Museum of Art History แสดงภาพวาดต่างๆและ Naturhistorisches - Museum of Natural History of Vienna แสดงของเกี่ยวกับธรรมชาติในอดีต, Museumquartier - Museum Quarter เป็นย่านพิพิธภัณฑ์รวมทั้ง Leopold Museum และ Museum of Modern Art ของ Ludwig Foundation
ศิลปินอีกท่านที่ขอพูดถึง คือ ท่าน กุสตาฟ คลิ้มส์ Gustav Klimt (1862 - 1918) ซึ่งงานของท่านเกี่ยวกับร่างกายของสตรี รายละเอียดมาก สีสันงดงาม รูปที่มีชื่อเสียงมากชื่อรูป จุมพิต The Kiss และรุปแม่นางจูดิธ Judith and the Head of Holofernes

จะขอปิดท้ายเวียนนาด้วยเรื่อง อาหาร Wiener Schnitzel เนื้อลูกวัวชุบแป้งทอดเป็นแผ่น ถ้าของหวานก็ต้องเป็น ช็อคโกแล้ตเข้มข้น Sachertorte ไม่ใส่น้ำตาล ทานกับวิปครีม หรือ Apfelstrudel ลักษณะคล้ายพายผลไม้สอดไส้ ยิ่งถ้าตามด้วย Vienna coffee นี่จะมีความสุขมากๆๆๆๆ

Munich - Germany

นักปรัชญาที่เราเคยได้ยินกันสมัยเรียน หลายท่านเป็นคนเยอรมันเช่น Emmanuel Kant, Wilhelm Freidrich Hegel, Friedrich Nietzsche และ Heidegger ประเทศเยอรมัน จริงๆแล้วก็ไม่ไกลจากสวิสเซอร์แลนด์แต่ตอนที่อยู่ก็ไม่ได้มีโอกาสไป เมืองหลวงคือ กรุงเบอร์ลิน และมีเมืองใหญ่ๆหลายเมืองเช่น แฟรงค์เฟิร์ต Frankfurt และเมืองที่ได้ไปคือ มิวนิค Munich เมืองหลวงของทางบาวาเรียเหนือ (Bavaria) แต่ส่วนมากตอนนั้นก็เตร็ดเตร่อยู่แถว Marienplatz และ Town Hall กลางเมือง จิบเบียร์ ที่มีให้เลือกมากมายหลายแบบ (คนเยอรมันกินเบียร์เฉลี่ยกว่า 100 ลิตรต่อคนต่อปี) ลองกินไส้กรอกขาวบาวาเรีย (Weißwurst) อร่อย สด ไม่คาว กินกับ Brezen หรือ Pretzel ขนมปังเพรทเซล และเบียร์ Weißbier ย่านอื่นที่นักท่องเที่ยวไปก็คือ Frauenkirche ซึ่งก็ใช้เป็นโบสถ์ ถนนที่มีชื่อเสียงหลายเส้นเช่น Maximilianstraße นีโอโกธิค; Brienner Straße นีโอคลาสิค; Ludwigstraße จากใต้ไปเหนือ และ Prinzregentenstraße จากตะวันออกเฉียงเหนือ
ที่ๆได้มีโอกาศไปไว้อาลัย คือ ค่ายกักกันเชลยสงครามสมัยนาซี (Dachau) ไม่ไกลจากตัวเมืองมิวนิคมากนัก ที่นี่เป็นหนึ่งในค่ายที่รองจากออส์ชวิตซ์ (Auschwitz) ในประเทศโปแลนด์ ค่าย Dachau นักโทษทางการเมืองถูกโกนศีรษะ และให้สวมใส่ชุดนักโทษลายขวาง ทำงานหนักตลอดเวลา หากนักโทษเจ็บป่วย ทำงานไม่ได้ ก็จะถูกฆ่า สภาพทารุณโหดร้าย ห้องอบแก๊ส เตาเผาศพ เป็นที่ทดลองด้านวิทยาศาสตร์ที่โหดร้ายกับมนุษย์ เป็นฝันร้ายของคนทั้งโลก แม้ว่าผู้ที่รอดมาได้จากค่ายก็ยากที่จะมองโลกอย่างเดิมได้ การประเมินราคาของความเกลียดชังด้วยสงครามเป็นราคาที่แพงเกินกว่าชีวิตมนุษย์ควรจะต้องสูญเสียไป หนังหลายเรื่องก็พยายามเล่าเรื่องบางส่วน ให้คนรุ่นหลังได้เห็น Schindler's list สร้างโดย Spielberg ปี 1993 เกี่ยวกับ นักธุรกิจชาวเยอรมันที่พยายามช่วยชีวิตชาวยิวโปแลนด์ Life Is Beautiful/La vita è bella ปี 1997 เกี่ยวกัวพ่อที่พยายามประคบประคองจิตใจลูกชายในค่าย The Pianist ปี 2002 โดย Roman Polanski เกี่ยวกับการถ่ายทอดเรื่องราวของนักเปียโน Szpilman ระหว่างสงคราม ไม่นานมานี้ The Boy in the Striped Pyjamas ปี 2006 แต่งโดยชาวไอริช

London - UK

ครั้งนี้ลุยเดี่ยวค่ะ ไปลอนดอน สุดสัปดาห์เดือนพฤษจิกายน 2004 ไปด้วย สายการบินEasyJet ประหยัดจตามภาษา ลงที่ Luton เยี่ยมเพื่อน กลับทาง Gatwick ถ้าเป็นสายการบินใหญ่ๆ ก้น่าจะลงที่ Heathrow เดินทางเข้าออกกรุงลอนดอนด้วยรถไฟสะดวก สหราชอาณาจักร (United Kingdom) ประกอบด้วย อังกฤษ (England) ไอร์แลนด์ (Ireland) สก็อตแลนด์ (Scotland) และเวลส์ (Wales) มีราชินี และนายกรัฐมนตรี
กรุงลอนดอน มีชื่อเสียงทั่วโลกในหลายด้าน ที่สำคัญเช่น Westminster Abbey เป็นโบสถ์แบบโกธิค, House of Parliament, Tower of London หอคอย
กรุงลอนดอน, London Bridge สะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ (Thames), London Eye (the Millennium Wheel) สูง 135 เมตร พระราชวังบัคกิงแฮม (Buckingham Palace) เป็นที่รับแขกบ้านแขกเมืองด้วย ข้างหน้ามีการ เปลี่ยนคนเฝ้า (Changing of the Guard) Kensington Palace ซึ่งเคยเป็นที่อยุ่ของเจ้าหญิงไดอาน่า (Princess Diana -1997) นั่งรถบัสสองชั้นสีแดงนักท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ ไปจนถึง Hyde Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ มี Speaker's Corner ที่คนมาปราศัย ใช้เสรีภาพในการพูด
กรุงลอนดอนมีพิพิธภัณฑ์หลายที่ที่น่าสนใจ เช่น British Museum ที่มีของโบราณตั้งแต่สมัยอียิปต์ Natural History Museum เกี่ยวกับธรรมชาติ Victoria and Albert Museum เกี่ยวกับแฟชั่น หรือพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง Madame Tussauds นักท่องเที่ยวไปเช่นห้างแฮร์ร็อด Harrods ไปช้อปปิ้งย่าน ออกซ์ฟอร์ด (Oxford Street) พิคคาดิลลี (Piccadilly Circus) ทานเย็นแถวไชน่าทาวน์ (China Town) ตกเย็นถ้าคนหรูก็ไปฟังคอนเสิร์ตที่
Royal Albert Hall หรือไปดู ละครเพลง Muscial Broadway เช่น Billy Elliot, Lion King หรือ Mamma Mia (โดยเฉพาะแฟนเพลงของ ABBA) โอ้ถ้าเป็นแฟนฟุตบอลก็มีของขายแล้วแต่สโมสรไม่ว่าจะเป็น ปืนใหญ่ Arsenal, Chelsea, หงษ์แดงLiverpool, ปีศาจแดง Manchester United (เรียงตามอักษรค่ะ ทราบว่าแต่ละคนเป็นแฟนคนละพันธุ์กัน จะได้ไม่ขัดใจ :) ตอนนั้นก็ไปดูมหาวิยาลัยด้วย มีที่มีชื่อเสียงหลายที่ไม่ว่าจะเป็น Imperial College London, University College London ที่ตัวเองสนใจคือ LSE - London School of Economics และ LSHTM - London School of Health and Tropical Medicine ถ้าออกไปข้างนอกก็มี Oxford University, Cambridge University, University of Bath, University of Bristol
ขอเข้าประวัติศาสตร์นิดนึงค่ะอดไม่ได้ มาถึงอังกฤษ ฐานความรู้จากนักปรัชญาJohn Locke, David Hume, John Stuart , Willian of Ockham, Thomas Hobbes, Adam Smith รวมทั้ง Karl Marx และ Karl Popper พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์จาก Sir Francis Bacon, หลักฟิสิกซ์ Sir Isaac Newton การค้นพบทางการแพทย์ Sir Alexander Fleming การค้นพบการสื่อสารทางไกลโทรศัพท์ (Aleander Graham Bell) ถ้างานเขียนก้ต้องนึกถึงท่าน William Shakespeare นักเขียนก็ต้อง Charles Dickens (Oliver Twist) นักเขียนสตรีที่เราชื่นชมคือ Jane Austen (Sense and Sensibility, Pride and Prejudice), Virginal Woolf (Mrs. Dollaway) และล่าสุด JK Rowling (Harry Potter) เข้ายุคใหม่ เพลงก็ต้อง The Beatles, Sir Elton John, Rolling Stones, Eric Clapton, Rod Stewart, Sting, Oasis จนเข้ายุคใหม่เป็น Spice Girls, Coldplay, Amy Winehouse, Lily Allen
Barcelona - Spain

บาเซโลนา เป็นเมืองหลวงทางด้าน คาตาลุนญ่า (Catalonia) อากาศแบบเมเดอติเรเนียน ตอนนั้นไปกับเพื่อนร่วมงาน ชื่อ Renato เป็นลูกครึ่ง สวีเดน-เม็กซิกัน คล่องภาษาสแปนิช เราเลยไม่ต้องเตรียมการ เริ่มจากตรงท่าเรือที่มีรูปปั้นคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) ส่องกล่องดูดินแดนใหม่ เดินมาอีกด้าน เป็นย่าน ช้อปปิ้งที่ชื่อเสียง ลา รัมบรา (La Rambla) และได้มีไปพิพิธภัณฑ์ของงานชิ้นแรกๆของ ปิคัสโซ (Picasso) ไปบาร์เซโลนานี่ตั้งใจไปกิน ปาเอญ่า Paella ข้าวผัดทะเลแบบสเปนที่มีชื่อเสียง อร่อยสมใจจริงๆ อาหารทะเลอย่างอื่นก็สดมาก
มาถึงเมืองนี้ไม่พูดถึงศิลปินเอก ท่านเกาดี้Antoni Gaudi (1852-1926) คงจะไม่ได้ คนบาร์เซโลน่าภูมิใจในงานของท่านมากจนเรียกว่า City of Gaudi ที่แรกที่ไปดูคือสวนสาธารณะเกวล (Park Güell) เป็นสมบัติของโลก โดย UNESCO งานโมเสสตรงประตูทางเข้าระเอียดและมีสีสันมาก ทางเดินและกำแพงหินก็ดูแปลกตาน่าทึ่งมาก งานอื่นที่โดนเด่นมากเช่น คาซ่า มิลา (Casa Milà) และ คาซ่า บัตโย่(Casa Batlló) เป็นตึกที่เหมือนออกมาจากเทพนิยาย
แต่งานที่โดดเด่นที่สุดของท่านเกาดี้ คือ โบสถ์ซากราด้า แฟมิเลีย (Sagrada Família) ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี 1882 ได้ไปเห็นแบบเปลนซึ่งยิ่งใหญ่อลังการมาก คงต้องใช้เวลากันอีกพักใหญ่ โดยเฉพาะถ้าลำพังแต่งินบริจาค รูปทรงที่สูงเพรียว และพื้นผิวที่เป็นธรรมชาติ ทำให้รู้สึกประทับใจมาก เป็นเมืองที่พิเศษมาก สะท้อนให้เห็นความสามารถของคนหนึ่งคน ที่ทั้งเมืองยอมรับให้งานของท่านเป็นตัวแทนของเมืองได้