7/10/2009

Namaste: New Delhi-Jaipur-Agra

ประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ในทวีปเอเซีย เมืองหลวงนิวเดลี เมืองใหญ่ที่สุดมุบไบ หรือบอมเบย์ มีประชากรมากกว่าหนึ่งพันล้านคน เป็นเพียงรองเประเทศจีนเท่านั้น ทางทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และภูฐาน ตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดพม่า ทางตะวันออกติดบังกลาเทศ ประเทศอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2420 ประเทศอินเดียจึงได้รับเอกราช ได้รับเอกราชใน 70 ปีค่อมา การดำเนินชีวิตของชาวอินเดียจะยึดถือศาสนาเป็นสิ่งสำคัญ กว่าร้อยละ 80 ของประชากรนับถือสาสนาฮินดู ร้อยละ 10 นับถือศาสนาอิสลาม ประเทศอินเดียมีมนต์เสน่ห์ที่มีความซับซ้อนและน่าทึ่ง ดินแดนแห่งธรรมที่เก่าแก่ เส้นทางการเดินทางที่น่าสนใจเช่น เดลลี-ชัยปุระ-อะกรา ซึ่งเป็นเส้นทางสามเหลี่ยมวัฒนธรรม ดาร์จีลิง-สิกขิม เทือกเขาหิมาลัย แคว้นแคชเมียร์ ศิลปะทมิฬนาฑุทางตอนใต้เมืองเชนไน ศิลปะคล้ายวัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือ วัดแขกสีลมบ้านเรา ตามรอยพระพุทธเจ้าจากเนปาล ชมสังเวชนียสถาน พุทธคยา กุสินารา กรุงราชคฤห์ เขาคิชฌกูฏสวนลุมพินีวัน เมืองพาราณสี ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

รู้สึกดีใจที่ได้ไปประเทศอินเดียในที่สุด ตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นสารคดีเกี่ยวกับอินเดีย ความมีสีสันของเครื่องเทศ อาหารการกินที่หลากหลาย ความงามชองส่าหรี่ของสตรี สถาปัตยกรรมที่สวยงามและแตกต่าง ตอนแรกที่ไม่อยากไปอินเดียเพราะ ได้ยินมาถึงความแตกต่างของชนชั้น และเด็กขอทานตามถนน โดยเฉพาะเพิ่งไปดูเรื่อง Slumdog millionnaire ทำใจไม่ได้ถึงความลำบากโดยเฉพาะที่มุมไบ แต่ทริปนี้ไปประชุมเรื่องวิธีการวิจัยทางระบาดวิทยา 2 สัปดาห์ที่เมืองชัยปุระ (Jaipur) ตอนแรกลงที่กรุงนิวเดลี (New Delhi) สนามบินนานาชาติอินทิรา คานธี ตอนนั้นวางแผนล่วงหน้าจองรถไฟจากกรุงนิวเดลี http://www.irctc.co.in/ พอไปถึงก็มีชื่อพวกเราติดหราอยู่ ขึ้นไปเป็นรถไฟชั้นหนึ่งตู้นอนใช้ได้ ไปเมืองชัยปุระ และขากลับกลับโดยสายการบินในประเทศแอร์อินเดีย ตอนนั้นจองผ่าน travelocity ตอนรถแทกซีจากสนามบิน ไปสถานีรถไฟค่อนข้างไกล และคนเยอะมาก จุดเด่นเข้าเมืองผ่านรุปปั้นของท่านมหาตมะคานธีเดินถือไม้เท้าและมีชาวอินเดียเดินตาม แต่บ้านเมืองเขาก็ดูดี ค่อนข้างทันสมัย มีการวางผังเมืองที่ทันสมัย ผ่านประตูเมืองอินเดีย (India Gate) ศูนย์กลางการปกครองเดลลีของอังกฤษมาก่อน วัดดอกบัว (Lotus Temple) สิ่งก่อสร้างรูปดอกบัวสีขาวที่ปรากฏเห็นชัดเจนแต่ไกล สวยงามมาก เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปชม Humayun's Tomb และ Akshardham ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมอินเดีย แสดงถึงวัฒนธรรมความรุ่งเรืองด้านศิลปะ








เข้าสู่รัฐราชสถาน (Rajasthan) นครชัยปุระ (Jaipur) มีจุดเด่นอยู่ที่อาคารบ้านเรือนล้วนเป็นสีช่องหน้าต่างจำนวน 152 ช่องนั้นมีไว้ให้เหล่าสตรี นครชมพู (Pink City) เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยปุระ ฮาวามาฮาล (Hawal Mahal) พระราชวังแห่งสายลม ซึ่งเต็มไปด้วยช่องหน้าต่างเล็กๆ ส่วนช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิจะสูงถึง 42 องศา ทำให้อากาศถ่ายเท โดยเฉพาะหน้าร้อนอบอ้าว ในอดีตเพื่อให้สตรีได้เห็นชีวิตแต่ละวัน โดยที่คนไม่ให้คนเห็น ตรงย่านเดียวกันเป็นอาคารห้องแถวยาวที่ใช้เป็นตลาดขายของ นั่งรถตุ๊กๆ ริกชอว์ (rickshaw) เข้าไปเที่ยวในเมืองเกือบทุกเย็นนอกจากนั้นก็มีพระราชวังฤดูร้อน สำหรับพระราชวงศ์ ซึ่งล้อมรอบด้วยทะเลสาบ เมืองชัยปุระเต็มไปด้วยปราสาทราชวังและป้อมปราการ (Fort) อันยิ่งใหญ่บนยอดเขา เมืองแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม พระราชวังและป้อมปราการ เมืองที่ย้อนไปในศตวรรษที่ 18พระราชวังอัมเบอร์พาเลช (Amber Palace) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา มีข้อได้เปรียบทางยุทธศาสตร์เป็นอย่างมาก ซึ่งตอนดลางคืนมีการแสดง แสง สี เสียง (sound & light) เล่าถึงประวัติของเมืองชัยปุระ



ระหว่างสุดสัปดาห์จากการสัมมนาที่ประชุมมีการจัดให้ทัศนศึกษา ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่งโมง ถนนค่อนข้างขรุขระ รถไปได้ไม่เร็ว เมารถค่ะเมารถ แต่ก็ได้เห็นชีวิตเกษตกรระหว่างทาง ก็ไปถึง เมืองอะกรา (Agra) ไปชมทัชมาฮาล (Taj Mahal) หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอนุสาวรีย์แห่งความรักและความสวยงามของหินอ่อนภายในทัชมาฮาล ที่พระเจ้าชาร์จาฮัน (Shah Jahan) สร้างให้พระนางมุมตัส (Mumtaz Mahal) ที่ประทับใจไม่เพียงแต่ความรัก แต่ความเศร้าโสกเมื่อเจ้าชาร์จาฮันถูกลูกชายจับมาขังไว้อสิ่งที่พระองค์ขอคือให้พระองค์สามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้จากที่คุมขัง จนสิ้นพระชนม์ ขากลับก็ผ่านไปชม พระราชวังอัคราฟอร์ด (Agra Fort) ซึ่งสวยงามมาก โดยเฉพาะตกเย็น สีแดงอิฐโดดเด่นและดูมีพลังมาก

มาถึงเมืองแขกไม่พูดถึงอาหารคงไม่ได้ อาหารอินเดีย เป็นอาหารที่ประกอบไปด้วยสารพัดเครื่องแกง หอม รสชาติเข้มข้น อินเดียมีอาหารมากมายและหลากหลาย มีเอกลักษณ์อยู่ที่การใช้เครื่องเทศเพื่อเพิ่มรสชาติ ทำให้เจริญอาหาร ชาวอินเดียเชื่อกันว่าอาหารมีความสำคัญมากโดยเฉพาะอาหารที่ทำจากบ้าน ซึ่งมีผลต่อชีวิตประจำวันของคน ถึงกับมีบริการรับอาหารปิ่นโตที่ทำจากบ้านไปส่งตามออฟฟิส แล้วตอนบ่ายก็นำปิ่นโตไปส่งคืน อาหารอินเดียจะประกอบไปด้วย ข้าว, โรตี, จาปาตี (japati) แผ่นแป้งโรตีห่อไส้มันฝรั่งผสมเครื่องเทศ (masala dosa), ไบยานี (biryani) คล้ายข้าวผัดเครื่องแกง, ไก่ย่างแดงทันดูริ (tandoori), เนื้อแกงข้นวินดาลู (vindaloo)


ชาวอินเดียจะใช้เฮนน่า (henna) มาเขียนลายบนร่างกายให้สวยงาม โดยเฉพาะเจ้าสาวห่มส่าหรี่แล้วจะมีเพื่อนสาวๆ มาช่วยกันเขียนลวดลายด้วยเฮนน่าบนมือให้เจ้าสาวเพื่อความสวยงาม เฮนน่า เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง ส่วนที่ใช้ คือ ใบ กิ่ง และก้าน ใช้เป็นสีย้อมผมแบบกึ่งถาวร ให้สีน้ำตาลเข้มออกแดง นอกจากนี้เฮนน่ายังใช้ย้อมผมได้อย่างปลอดภัย ตอนนั้นไปทำเฮนนา สองครั้ง ครั้งหนึ่งที่แขน อีกที่หนึ่งที่หลังลวดลายสวยงามมาก ทั้งสองครั้งเป็นผู้ชายวาด คงคล้ายเด็กช่างศิลป์บ้านเรา ทาน้ำมันเย็นๆ หอมก่อนลงสี คนวาดไม่ต้องใช้ลายทาบเลย วาดกันสดๆ เหลือบไปเห็นสาวอินเดียข้างเลือกลายละเอียดมากทั้งหน้าแขนหลังแขน เราเลือกลวดลายไม่ซับซ้อนมากประมาณ 15 นาทีก็เสร็จ ทิ้งไว้ไม่กี่ชั่วโมงก็แห้ง เสก็ดสีหลุด เหลือแต่สีน้ำตาลบนผิว ซึ่งอยู่ได้เกือบสองสัปดาห์ จำได้ว่าขากลับที่สถานบินสุวรรณภูมิมีคนแซวนึกว่าเราสักน้ำมันที่หลัง ก็นึกอดขำไม่ได้

สรุปว่าประทับใจประเทศอินเดียมาก กลับมาก็ยิ่งอยากกลับไปดูหนังอินเดีย เช่น passage to india, bride and prejudice ยังนึกถึง การเต้นรำของอินเดีย วัฒนธรรมที่มีสีสัน คนก็ใจดี จำได้ว่าลืมของไว้ในรถแทกซีที่เราเหมาให้เขาพาเที่ยว ขับไปตั้งไกลเขาก็ยังขับกลับมาคืน ตอนเช็คออกจากโรงแรม ทิ้งของหลายอย่างไว้ที่ห้องไม่ได้เอากลับ คนทำความสะอาดห้องเขาอยากได้ขอเราอย่างสุภาพเราก็ยินดี แต่เขาขอบให้เราเขียนกระดาษด้วย หลายๆอย่างที่เห็นการใช้ชีวิตของคนว่าเขาพึงพอใจในชีวิตและความเป็นอยู่ของเขา ถ้ามีโอกาสก็อยากได้กลับมาอีก