4/29/2009

7 cities in NIPPON JAPAN!

Yokoso Japan ยินดีต้อนรับสู่ญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นประกอบด้วยเกาะกว่า 3,000 เกาะ เกาะใหญ่ๆ เช่น Hokkaido, Honshu, Shikoku และ Kyushu พื้นที่ส่วนมากเป็นภูเขาไฟเก่า ภูเขาที่สูงที่สุดคือ ภูเขาฟูจิ (Fuji) ประเทศญี่ปุ่นปัจจุบัน เป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆของโลก อายุยืนยาวมากที่สุดของโลก
ไปประเทศญี่ปุ่น Nipon กับแม่ครั้งแรกเดือนมีนาคม 2006 ตอนแรกก็คิดว่าจะไปกับทัวร์ดีไหม ราคาประมาณ 35,000 เป็นตห้นไป รู้สึกว่ามีหลายที่ๆอยากไป และไม่อยากไป Disneyland อยากไปเมืองหลักๆที่เคยได้ยินมาทั้งหมดเลย Tokyo-Hakone-Nagoya-Hida Tagayama-Kyoto-Nara-Osaka-Hiroshima-Miyajima ก็เลยต้องเริ่มทำการบ้านศึกษาตั้งแต่วางแผนขอวีซ่า ตอนนั้นเพื่อนจากญี่ปุ่นให้เอกสารเชิญประกอบในการขอวีซ่า เรื่องตั๋วเครื่องบินหาไม่ยาก ประมาณ 20,000 บาทไปกลับ จากนั้นก็ดูเรื่องการหาที่พัก จาก http://www.jnto.go.jp/eng/ ตอนนั้นจองที่พักล่วงหน้าทุกเมืองที่ไป ผ่านทางเว็บ http://www.japanhotel.net/ นอกจากนั้นเนื่องจากเราตั้งจะไปหลายเมือง ก็เป็นตั๋วรถไฟ Japan Rail Pass http://ww.japanrailpass.net/ สามารถใช้นั่งรถไฟหัวจรวด (Shinkansen) ซึ่งเร็วมากมองแทบไม่เห็นทาง นับเป็นรายวัน แต่ถ้าคนที่จะอยู่ใน Tokyo ก็ไม่จำเป็น แต่ต้องเตรียมล่วงหน้า เพราะต้องซื้อจากนอกประเทศญี่ปุ่น สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น Yokoso องค์การท่องเที่ยวของญี่ปุ่นแพ๊คเกจ ข้อมูล ตอนนั้น ซื้อหนังสือทัวร์มา 2 เล่ม เที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตะลุยญี่ปุ่น เล่ม 1 เล่ม 2 เป็นการทำการบ้านไปในตัว

ฤดูกาลที่น่าไปก็น่าจะแล้วแต่คนชอบ แต่ที่ตั้งใจไปก็ไปดูซากุระบาน ปลายเดือนมีนาคม ถึงต้นเดือนเมษายน แล้วแต่ปี เป็นช่วงฤดูใบไม่ผลิ ซึ่งก็ยังหนาวหน่อย ประมาณ 5-15 องศาเซลเซียส บางคนอาจชอบหิมะอยากเล่นสกีทางตอนเหมือนซึ่งก็คงต้องเป็น ฤดูหนาว อาจจะสำหรับที่พักที่ก็มีหลายแบบสำหรับเช่น โรงแรมแคปซูล ที่พักแบบเรียวกังมีทั้งเสื่อทาทามิ สวมชุอยูกาตะ ประตูเลื่อน มีคนอาหารให้ ปูที่นอนได้อารมณ์มาก ที่พักสำหรับเยาวชนก็เป็ฯแบบลุยๆ โรงแรมราคากลางๆก็สะดวก แต่ต้องบอกว่าที่ญี่ปุ่นทุกอย่างเล็กกระทัดรัดมาก ในห้องนี่เปิดมาแล้วใจหาย เหมือนบ้านคนแคระ ของในห้องมีครบถ้วน ทุกสิ่งให้เลือกสรร เตียง กาต้มน้ำ มีชุดนอนยูกาตะ ให้ใส่ ห้องน้ำ เพียงแต่ทุกอย่างเหมือนขนาดย่อส่วน นี่ถ้าคนตัวใหญ่มา แบบไซส์ฝรั่งคงลำบาก

ส่วนอาหารการกิน ที่จำได้ก็คือก๋วยเตี๋ยวตามสถานีรถไฟ อุ่นท้อง รวดเร็ว ราคาย่อมเยา และอร่อย หรือร้านข้างทางที่เป็นหยอดเหรียญมีตัวอย่างอาหารอยู่ข้างหน้า ก็สะดวก อันไหนถูกใจก็ใส่เหรียญกด ไม่ต้องสื่อสารมาก หรือถ้าจะเอาง่ายสะดวก ก็มีร้านขายของชำมินิมาร์ท Family Mart หาของกินได้ตลอด การดื่มชา (tea drinking) โดยเฉพาะชาข้าว ข้าวเป็นอาหารหลักเช่น ซูชิ sushi ปลาดิบ shashimi ข้าวหมูทอด tonkatsu บางทีเส้นก๋วยเตี๋ยวเสิฟกับน้ำซุป เป็นโซบะเย็น โซบะร้อน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 12-20% หมักจนเป็นสาเก (sake) โอ้ อีกอย่าที่ต้องพูดถึงคือปลาหมึกทาโกะ tako และที่ที่เราดรยกว่า ขนมครกใส่ปลาหมึกทาโกะยากิ (takoyaki) เสียดายเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ชิมเนื้อวันโกเบ kobe ที่ขึ้นชื่อ


Tokyo - กรุงโตเกียว

ลงจากสนามบินนาริตะ Narita ก็นั่งรถไฟเข้าเมืองไปพักแถวย่านอูเอโนะ Ueno ที่จองไว้ล่วงหน้าชื่อ Oak Hotel เป็นโรงแรมกลางๆ แต่ก็ใช้ได้เลย เข้าไปยืมดูตารางรถไฟเข้าเมืองก็อึ้งไปเลย ซับซ้อนมาก ก็ต้องค่อยๆ แกะกันไป ที่อ่านหนังสือทัวร์มาคร่าวๆ ก็ต้องไป Akibara ย่านคอมพิวเตอร์ ไปดูสาวน้อยแต่งตัวแปลกๆ Shinjuku เป็นย่านที่คนเยอะมากๆ ไปดูคนข้ามถนน Harajuku เป็นย่านที่แปลกมากจริงๆ ไปนั่งอยู่ที่ McDonald พวกวัยรุ่นลากกระเป๋าไปเปลี่ยนชุด ใช้กาวหรือสก็อตเทป ยังงัยก็นึกไม่ออก พวกเรา ว่าพวกนี้ถ้าโตแล้วจะเปลี่ยนเป็นเป็นพวกที่เรียบร้อยที่เจอในรถไฟได้อย่างไร Asakusa ไปดูระฆัง มีร้านขายของทุกอย่างดูน่ารักไปหมด Palace ไปเจองานแต่งงานพอดี รถไฟ JR-line ที่ใช้บ่อยเช่น Yamanote ผ่านสถานี Takadanobaba, Shin Okubo, Shinjuku

Meiji Shrine เป็นศาลในสวนสาธารณะใหญ่ ตั้งใกล้ Shibuya เป็นอนุสรณ์แด่จักรพรรดิสมัยเมจิ เดินเข้าไปแล้วรู้สึกสงบร่มเย็น ปัจจุบันคนมาใช้เป็นที่ทางศาสนา และผ่อนคลาย ก็จะเห็นคนใส่กิโมโนเดินกัน มาเป็นครอบครัว และใช้ในงานแต่งงานแบบของชินโต

Asakusa อาซากุซะ วัดเก่าแก่ของกรุงโตเกียวเป็นย่านที่มีชื่อเสียงสำหรับ วัดใหญ่เซนโซจิ Senso-ji เป็นวัดที่ค่อนข้างกว้าง มีหลายอย่างให้ดู โคมไฟขนาดยักษ์ที่เป็นสัญลักษณ์ สร้างสีสัน ใช้ในพิธีการต่างๆ ข้างหน้ามีร้านขายของมากมาย ทั้งของกินของเล่นของฝาก โดยเฉพาะการแพ็คของเขาน่ารัก เป็นสไตล์ญี่ป่นคิคขุมาก เป็นที่ถูกอกถูกใจของนักท่องเที่ยวมาก



Akihabara อากิฮาบาร่า เป็นย่านอิเล็กโทรนิคส์ ซึ่งไม่ห่างจาก จากสถานีรถไฟมาก โดยเฉพาะเวลากลางคืน แสงสีทุกตึก ของทันสมัยมากมาย ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายรูป มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เหมือนแกะออกมาจากแคทตาล็อคนำสมัยเลย ร้านเกมส์ ร้านขายหนังสือการ์ตูน มังงะ (manga) ต่างๆ อีกอย่างก็ไปดูสาวน้อยแต่งตัวเป็นสาวเสริฟอาหารคล้าย ชุดนักเรียนกระโปรงสั้นๆ ชักชวน และต้อนรับให้เข้าไปร้านกาแฟคาเฟ่ Maids Cafe, Cosplay Cafe จะกล่าวต้อนรับแขกที่เข้ามาว่า ทั้งเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญที่เป็นลูกค้า เป็นวัฒนธรรมที่แปลกตามาก

Shinjuku ชินจูกุ เป็นหนึ่งใน 23 เขตพิเศษในกรุงโตเกียว ทั้งทางด้านธุรกิจและศูนย์ราชการ สถานีรถไฟเป็นที่วุ่นวายอันดับต้นๆของโลก แม้จะมีความเป็นเมืองมาก แต่ชินจูกุก็มีชื่อด้านสวน Shinjuku Gyoen ที่สวยงามทั้ง 4 ฤดู โดยเฉพาะในช่วงซากุระบาน

Harajuku ฮาราจูกุ ขึ้นรถไฟ JR Yamanote ไปลงย่านชิบูย่าเดินไปไม่ไกล ก็เป็นย่านที่มีชื่อเสียงในความแปลกตาของการแต่งตัวของวัยรุ่น แบบแรงโดยเฉพาะวันอาทิตย์ เด็กเขากล้ามาก แต่งตัวแรงแต่เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว ยินดีให้ถ่ายรูป น่ารักมาก แต่งตัวสไตล์โกธิค เดินไปตามถนนก็เป็นร้านฟาสต์ฟูดส์ต่างๆ ร้านเครปมีตัวอย่างให้ดู น่าทานมาก ถนนเดินซื้อของเช่น Omotesando และ Takeshita มีเสื้อผ้าหลายสไตล์ไม่ว่าเป็นฮิบฮอป hiphop ร็อค rock พังค์ punkแถวนั้นมีร้าน McDonald ซึ่งจากการสังเกตการณ์เห็นเด็กวัยรุ่นลากกระเป๋ากันมาแต่งตัว กันตรงนั้น ทั้งยัดทั้งใช้สก็อตเทปติดช่วย ดูเขาก็สนุกมีความสุขดีที่ได้มีอิสระในการแสดงออกอย่างเต็มที่ เราก็ยังงงว่าเวลาออกจากบ้านก็คงจะเรียบร้อย กลับบ้านก็คงอยู่ในกรอบ พอโตขึ้นก็คงจะเรียบร้อยใส่สูทเหมือนที่เห็นในรถไฟใต้ดิน เป็นสังคมที่แปลกมากจริงๆ

Shibuya ชิบูย่า เป็นถนนย่านธุรกิจที่คนหนาแน่น ย่านสรรพสินค้าโดยเฉพาะวัยรุ่น ที่จะเห็นกันบ่อยก็คือคนเดินไปมาข้ามถนนไฟจราจร พอไฟเขียวทีนี่มึน ไม่รู้มาจากไหนกันเยอะมาก แต่คนเขาก็เป็นระเบียบมาก สถานีรถไฟนั้นก็คนเยอะแต่ก็ต่อแถวกันเป็นระเบียบ ช่วงเวลาคนออกไปทำงานนี่ แถบจะต้องมีเจ้าหน้าที่ดันคนเข้าไปในรถไฟใต้ดิน ยังดีบางตู้เป็นแบบหญิงล้วน คนแทบจะเกยกัน

Hida-Takayama ฮิดะ ทาคายาม่า

หลังจากเที่ยวที่โตเกียว 3-4 วัน ก็ถึงเวลาออกจากเมืองไปดูข้างนอกบ้าง หลังจากไปเช็คที่นั้งสำหรับ JR-Pass ที่สถานีรถไฟก็เริ่มออกเดินมางเมืองแรกที่ไปลงเจอเพื่อนที่ นาโกย่า (Nagoya) เป็นเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเจนีวาชื่อ Kayo ซึ่งจริงๆแล้วพ่อแม่เขาเป็นคนเกาหลีใต้ ถึงแม้เขาจะเกิดญี่ปุ่นก็ต้องถือใบต่างด้าว สังเกตว่าถ้ามีคนถาม เขาจะตอบว่า I am from Japan ฉันมาจากประเทศญี่ปุ่น และเลี่ยงการตอบว่า I am Japanese ฉันเป็นคนญี่ป่น เป็นความแตกต่างที่น่าสนใจ ตอนที่เริ่มรู้จักกัน เขาฝึกงานอยู่ที่หน่วยที่เราทำงานอยู่ เป็นคนที่ไปนีซ และโมนาโคด้วยกัน ก็เลยทำให้สนิทกันมากขึ้น เขาย้ายมาเมืองไทยพักหนึ่งด้วยทำงานกับองค์กรสหประชาชาติเมืองไทยเกี่ยวกับการต่อต้านการขนส่งคนข้ามประเทศอย่างผิดกฎหมาย (trafficking and smuggling) ตอนนั้นก็ไปช่วยงานเขาบ้าง พาเขาเที่ยวบ้าง ดูเขามีความสุขกับเมืองไทยมาก ตอนหลังย้ายไปที่องค็กรสหประชาชาติสายการพัฒนาที่ญี่ป่น และล่าสุดได้ข่าวว่าย้ายไปทวีปแอฟริกา เป็นหญิงสาวเก่งที่น่าชื่นชมทีเดียว

ตอนนั้นนัดเจอกันที่สถานีรถไฟนาโงย่า บ้านเขาอยู่ชานเมืองต้องเดินทางเข้ามา บ้านเขาอยู่ชานเมือง ได้ข่าวว่าบ้านในประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างมีที่จำกัดก็เลยไม่อยากรบกวนเขา โรงแรมในเมืองนาโงย่าก็สะดวกมาก พอเขาซื้อตั๋วรถไฟจะไปฮิดะ ทากายาม่า เราก็เพิ่งรู้ว่าถ้าซื้อรถ JR โดยไม่ได้ใช้ตั๋วแบบเรานี่ราคปกติแพงมาก นี่ถ้าไม่ได้ซื้อตั๋วมาจากเมืองไทย คงแพงมาก พอไปถึงฮิดะ ทากายาม่า เมืองเขาน่ารักมาก มีถนนที่ยังคงความเป็นแบบโบราณอยู่หลายเส้น มีเป็นร้านขายชาข้างทาง ขายของกระจุกกระจิก เมืองไม่ใหญ่มากเดินไปเดินมาไม่นานก็ทั่ว แต่ว่าประทับใจมาก เมืองเขาอนุรักษ์ไว้อย่างดีได้ความรู้สึกสมัยก่อน

Hakone-Fuji ฮาโกเน ภูเขาฟูจิ

ออกไปจากโตกียวไม่นานก็จะถึงฮาโกเน อยากจะไปเห็นภูเขาฟูจิที่เลื่องชื่อ ในวันที่อากาศดึ หมอกไม่หนาก็จะสามารถเห็นฟูจิได้จากระยะไกล ตอนนั้นไปตอนสิ้นหน้าหนาว แต่ก็ยังเห็นหิมะขาวโพลนปกคลุมยอดเขา พอลงจากสนาถีรถไฟก็ต่อรถเมล์มุ่งน่าไปยังทะเลสาปอะชิ (Ashi) นั่งเรือวนไปดูภูเขาฟูจิ เนื่องจากบริเวณของภูเขาอมความร้อนจากที่เป็นภูเขาไฟ จึงมีแหล่งน้ำร้อนที่มีชื่อเสียง ถ้าไปให้ถึงญี่ป่น ก็ต้องมีโอกาสได้ไปอาบน้ำแร่ออนเซนเพื่อธรรมชาติ (Onsen) ตอนไปฮาโกเน ไปพักที่โรงแรมแบบเรียวกัง Kappa Tengoku ดูจากแผนที่ว่าไม่ไกลจากสถานีเราก็หาไม่เจอถามคนเขาก็ชี้ขึ้ฟ้าเราก็งง ที่ไหนได้ พอชะโงกหัวออกไปดูโรงแรมอยู่บนเขานั่นเอง เป็นการทดสอบความอดทนในการปีนเขา โรงแรมเป็นแบบเรียวกัง แต่ไปเห็นบ่อน้ำแร่เขาก็หายเหนื่อย มีแยกชายหญิง น้ำไหลลงมาจากภูเขา แช่น้ำไปมองมองออกไปเป็นธรรมชาติมาก เนื่องจากแม่ค่อนข้างเขินอายในการอาบน้ำรวม แตงก็เลยต้องเปเป็นเพื่อนแต่เช้าตรู่ตอนยังไม่มีคนลงมา อยากได้เป็นบ่อส่วนตัวบ้างจริงๆๆ

Himeji Osaka ฮิเมจิ โอซาก้า

เมืองต่อไปที่และลงไปดู ระหว่างต่อรอรถไฟ คือ ฮิเมจิ ตั้งใจไปดูปราสาทขาวหลายชั้น แม่เดินไม่ไหวแตงก็รีบจ้ำ เดินตรงอย่างเดียวเด่นเป็นสง่า แต่ไม่ได้อยู่นาน รีบกลับมาขึ้นรถไฟต่อไป เมืองโอซาก้าก่อนค่ำ ตอนนั้นตั้งใจไปเยี่ยมเพื่อนที่คณะเศรษฐศาตร์ ธรรมศาสตร์ กลุ่มแมงโม้ด้วยกัน เขาตามแฟนมาอยู่ที่โอซาก้า จำได้ว่าที่โอซาก้า โรงแรมเยอะ และราคาไม่แพง ดูเป็นเมืองที่คนมาพัก

นัดเจอเพื่อนแถว Niponbashi เด็น เด็นทาวน์ (Den Den Town) ซึ่งเป็นเมืองอิเล็คโทรนิคส์ คล้าย อาคิฮาบาร่าที่โตเกียว มีร้านหนังสือการ์ตูน และร้านกาแฟอาหารแบบสาวน้อยต้อนรับเช่นกัน ตอนนั้นก็จะไปเล็งกล้องถ้ายรูปตัวใหม่เหมือนกัน อันเก่าเป็น Konica Minolta แบบดีแต่หน้าจอเล็กไปหน่อย ไหนๆก็ไปถึงถิ่นแล้ว โชคดีที่แฟนเพื่อนเป็นคนท้องถิ่น เขาก็ช่วยต่อรองให้ นี่ขนาดในห้างอย่าง Bic Camera ก็ยังทั้งใช้ส่วนลดคนต่างชาติ ทั้งใช้บัตรสมาชิก ลดกันสนั่น ก็ได้ Casio Exilim มา ดูไปดูมาก็ถูกใจคอมพิวเตอร์กระเป๋าหิ้ว เครื่องเล็ก เครื่องเก่าเป็น Dell ซื้อจากอเมริกานานแล้ว น่าจะได้เวลาถอยใหม่ ก็โทรศัพท์กับเมืองไทยไปเช็คราคาเห็นที่นี่ ถูกกว่าเกือบ 40% ที่หวั่นใจอยู่อย่างก็คือตัวรับประกันไม่ทั่วโลก และตัวโปรแกรมทุกอย่างเป็นภาษาญี่ป่น แต่ก็เอาละเลยตัดสินใจซื้อเป็นของที่ระลึกซะเลย หลายปีแล้วก็ไม่เคยมีปัญหาเลย โชคดีไป อิอิ

Nara นารา

เมืองนารา แวะลงไปเพื่อดูวัดที่มีชื่อเสียง จากพอลงที่สถานี ก็ขึ้นรถเมล์เข้าไป ค่อนข้างสะดวก พอเริ่มเข้าใกล้วัด ก็เห็นกวางเดินไปเดินมา ได้ข่าวว่ามีกว่าพันตัว ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ที่คนให้เกียรติ ก็เลยปล่อย ให้เดินเป็นอิสระ เดินไปไม่ไกลก็ถึง วัดโตได (Tōdai-ji) ซึ่งเป็นที่อนุรักษ์มรดกโลกของ องค์กรยูเนสโก UNESCO มองเข้าไปเป็นวัดที่ดูยิ่งใหญ่ พระใหญ่ในนั้นถือว่าเป็นพระที่ทำจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Kyoto - เกียวโต

จากเมืองนารา เราก็มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงเก่า เมืองเกียวโต ซึ่งเป็นเมืองบนเกาะส่วนฮอนชู (Honshu) ตอนนั้นเลือกพักที่เรียวกังชื่อ Tomiya จองไว้ล่วงหน้า ซึ่งอยู่ใกล้สถานีรถไฟมาก ที่พักค่อนข้างคลาสสิคมากได้บรรยากาศ มาเมืองเก่าจริงๆ ตั้งใจไปดูพระราชวังอิมพีเรียล สวนญี่ปุ่น และวัดที่มีชื่อเสียงหลายที่ เดินทางในเกียวโตด่วยรถเมล์สะดวกมากสำหรับนักท่องเที่ยว วัดที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งคือ วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu) ซึ่งมีระเบียงไม้ที่อยู่บนเนินเขา ใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการเดินขึ้นไป ซึ่งแม่หมดแรงกลางทาง ทางเดินแคบๆ ชันๆ และคนเยอะ แต่พอขึ้นไปเห็นก็หมดแรง หายเหนื่อย สวยสมคำร่ำลือ

วัดอื่นที่น่าดู คือ Kinkakuji วัดตำหนักทอง Ginkakuji วัดตำหนักเงิน Ryoanji ซึ่งมีวัดที่มีหินที่มีชื่อเสียง ที่น่าสนใจมากอีกที่ คือ กิออน (Gion) ซึงเป็นย่านที่มีสาวงาม เกอิชา (geisha) ซึ่งจริงๆแล้วความหมายคือ ศิลปิน ด้วยความสามารถการร้องเพลง เต้นรำ จัดดอกไม้ และการสนทนาเป็นเพื่อนสุภาพบุรุษที่ต้องการเพื่อนคุย เข้าไปย่านนั้นได้เห็นเหทือนกันดูเรียบร้อยมีความเป็นกุลสตรีมาก ได้เจอรุ่นเล็กที่ฝึกงานด้วย เป็น สาวไมโกะ maiko

Hiroshima-Miyajima ฮิโรชิมา มิยาจิมา

นั่งรถไฟถึงเรื่อยๆ ก็และระหว่าง (อีกแล้ว) ที่สะพานที่มีชื่อเสียง ชื่อ สะพานคินไต (Kintai) เป็นสะพานห้าโค้ง ในเมือง อิวาคูนิ Iwakuni ย่านยามากูชิ แวะไปถ่ายรูปไม่นาน ก็ไปเมืองต่อไป คือ ฮิโรชิมา (Hirochima) ไปเคารพอนุสรณ์ของผู้ที่โดนปรมาณูปี 1945 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟไปเมืองต่อไปไม่ไกลชื่อ มิยาจิมา (Miyajima) ข้ามเรือไปดู ซุ้มประตูสีแดงในน้ำ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในมรดกโลก
ขอทิ้งท้ายว่าประทับใจกับประเทศญี่ปุ่นมาก เป็นการผสมผสานของการอนุรักษ์ของวัดต่างๆ และความทันสมัยของเมืองและ เทคโนโลยีต่างๆ ภาพของคนใส่สูทคล้ายกันหมดในรถไฟใต้ดินไปทำงาน วัยรุ่นที่มีสไตล์ที่แตกต่าง และภาพของซากุระที่บานรับฤดูกาลใหม่ จะอยู่ในความทรงจำไปอีกนาน ครั้งนี้ก็ต้องขอซาโยนาระกันก่อน

0 Comments:

Post a Comment

<< Home