8/09/2009

USA: Miami, Washington DC and Alaska

ขอขอบคุณข้อมูลจากวิกีพีเดีย และข้อมูลอื่นทางอินเตอร์เน็ต

สหรัฐอเมริกา (United States of America) มีเรียกได้หลายชื่อ สหรัฐ, ยูเอส (U.S.) , ยูเอสเอ (USA) , เดอะสเตตส์ (the States) และอเมริกา (America) ประกอบไปด้วย 50 รัฐ (สังเกตได้จากจำนวนดาวบนธงชาติ) มีพรมแดนต่อกับประเทศแคนาดา (Canada) ทางตอนเหนือและประเทศเม็กซิโก (Mexico)ทางตอนใต้ พรมแดนทางทะเลติดต่อกับ รัสเซีย (Russia) และบาฮามาส (Bahamas) โดยมีมหาสมุทรแปซิฟิก อาร์กติก แอตแลนติก และทะเลแคริบเบียนล้อมรอบ รวมทั้งดินแดนทะเลอื่น ๆ เช่น ซามัว (Samua) กวม (Guam) เปอร์โตริโก (Puerto rigo) และหมู่เกาะเวอร์จิน (Virgin Islands) คนอเมริกันมีหลากหลาย เป็นคนผิวขาวและคนละตินอเมริกัน ประมาณ 80% คนแอฟริกันอเมริกัน 13% คนเอเชียนอเมริกัน 5% ชาวอินเดียแดง 1.5%

ตอนนี้จะเล่าถึงตอนต่อของเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้ไปเยี่ยมชม ไฮไลต์สามแห่งคือ
- กรุงวอชิงตัน ดีซี (Washington DC) เมืองหลวง ทางตะวันออกตอนกลางของประเทศ ซึ่งตอนนั้นยังเรียนภาษาอยู่ ปี 2001 ที่รัฐนิวยอร์ค ก็ขับรถกันลงมา ประมาณ 3-4 ชั่วโมง
- เมืองไมอามี ในรัฐฟลอริด้า (Miami, Florida) ทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตอนนั้นทำงานอยู่ที่เจนีวาแล้ว ปี 2002 นัดมาเจอกับน้องชายที่มาหาจากนิวยอร์ค
- รัฐอลาสก้า (Alaska) สุดทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ ไปเกือบขั้วโลกเหนือ ตอนนั้นจะไปนิวยอร์คกับแม่ เดือน กรกฎาคมปี 2009 ด้วยเครื่อง China Airlines ซึ่งต้องไปแวะลง เปลี่ยนเครื่องก็เลย ใช้โอกาสแวะออกไปเที่ยวแล้วค่อยกลับมาขึ้นเครื่อง ทางสายการบินจัดการให้ได้ ไม่ยุ่งยากและแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเลย

วอชิงตัน ดี.ซี. (Washington, D.C. ย่อมาจาก District of Colombia) ติดต่อกับรัฐเวอร์จิเนียและรัฐแมริแลนด์ โดยกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สร้างในสมัย ประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีท่านแรกของสหรัฐอเมริกาของสหรัฐ มีอนุสาวรีย์วอชิงตัน ที่มีลักษณะเป็นแท่งโอเบลิสก์ (เหมือนที่เห็นที่อียิปต์ เป็นเสาสูงปลายแหลม สร้างจากหินแกรนิตขนาดใหญ่เพียงก้อนเดียว ฐานของเสาจะกว้างและค่อยๆ เรียวแหลม ยอดด้านบนเป็นแท่งสี่เหลี่ยมสี่ด้าน ลักษณะเหมือนปิรามิด) สูง 555 ฟุต เด่นเป็นสง่า เนื่องจากกรุงวอชิงตัน ดี ซี ไม่ค่อยมีตึกสูงมาก ก็เลยเห็นโอบิลิสก์ได้จากหลายมุมของเมือง

กรุงวอชิงตัน ดีซีเป็นที่ศูนย์กลางของหลายหน่วยงานสำคัญ ทั้งของรัฐ และองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้ง:
- ทำเนียบขาว หรือ ไวท์เฮาส์ (White House) เป็นบ้านอย่างเป็นทางการและสถานที่ทำงาน และกลายเป็นที่อยู่อาศัยของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทำเนียบขาวสร้างขึ้นด้วยหินทรายและสีขาวมีพื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 5,000 ตารางเมตร ปีกตะวันตกเป็นสำนักงานของประธานาธิบดี (ห้องทำงานรูปไข่ หรือ Oval Office)
- World Bank ธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนาระหว่างประเทศ เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ได้จัดตั้งขึ้นมาหลังช่วยให้ประเทศสมาชิกได้ทำการฟื้นฟูประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
- กองทุนการเงินระหว่างประเทศ International Monetary Fund หรือ ไอเอ็มเอฟ (IMF) จัดระบบการเงินโลก และสร้างเงินสำรองระหว่างประเทศ
- เพนตากอน (The Pentagon) เป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่อาร์ลิงตัน (Arlington) มลรัฐเวอร์จิเนีย (Virginia) อาคารเพนตากอนรูปห้าเหลี่ยมเป็นสัญลักษณ์ทางการทหารของสหรัฐอเมริกาตัวอาคารมีห้าชั้น และแต่ละชั้นแบ่งเป็นวงย่อยๆ ห้าวงซ้อนกัน ปัจจุบันมีพนักงานทั้งทหารและพลเรือนทำงานมากกว่า 25,000 คน
ไมอามี (Miami) เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของมลรัฐฟลอริดา เป็นแหล่งขึ้นเรือครูซ ไปแคริเบียน (The Caribbean) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศและหมู่เกาะต่างๆ มีรัฐอยู่ 25 รัฐ รวมทั้ง บาร์เบดอส (Barbados), U.S. Virgin
Island, คิวบา Cuba, สาธารณรัฐโดมินิกัน Dominican Republic, เฮติ Haiti, จาไมกา Jamaica, ตรินิแดดและโทเบโก Trinidad and Tobago
ตอนนั้นจองโรงแรมชื่อ The Clay Hotel http://www.clayhotel.com/ ค่อนข้างน่ารัก บรรยากาศดี ราคาไม่แพง อยู่ไม่ไกลจากชายหาดด้วย ในเมืองเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆในตัวเมือง และริมหาด ตอนนั้นเช่ารถขับกับน้องชายออกไป คือบึง เอเวอร์เกลดส์ The Everglades เป็นบึงที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีเนื้อที่ทั้งหมด 2,000 ตารางไมล์ เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติชื่อเดียวกัน Everglades National Park ซึ่งเต็มไปด้วนจระเข้ทั้งน้ำจืด และน้ำเค็ม ตัวเล็กตัวใหญ่ตลอดทางที่ขับรถไป ในอุทยานมีรถพาชม แต่ก็ไม่มีกรง เพียงแต่เขาก็ไม่ให้เข้าไปใกล้เกิน เป็นธรรมชาติมาก แต่ส่วนที่เป็นบึงก็จะมี เรือนั่ง Airboat ขับให้ชม อต่กลัวค่ะ เรือใหญ่ก็จริงแต่เป็นเรือลม นึกถึงฟันจระเข้ที่ลอยคออยู่ในน้ำก็เสียวแล้วค่ะ
เมืองอื่นที่มีชื่อเสียง คือ ออร์แลนโด (Orlando) ตั้งอยู่ตอนกลางของรัฐฟลอริดา มีเขตเมืองใหญ่เป็นอันดับที่สามของรัฐ รองจากไมอามี และแทมปา (Tampa) ออร์แลนโดรู้จักกันดีว่าเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจจำนวนมาก เช่น วอล์ตดิสนีย์เวิลด์ (Walt Disney World), ซีเวิลด์ (Sea World), และยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ต (Universal Orlando Resport) อีกทั้งออร์แลนโดยังมีจำนวนห้องพักโรงแรมมากเป็นอันดับที่สองของสหรัฐอเมริกาของจากลาสเวกัส ประกอบด้วย สวนสนุก สวนน้ำ โรงแรม แหล่งชอปปิ้ง สนามกอล์ฟ สถานบันเทิง และร้านอาหารอีกจำนวนมาก

มลรัฐอลาสกา (State of Alaska) มีพื้นที่ทางตะวันออกติดต่อกับรัฐบริติชโคลัมเบียของประเทศแคนาดา (British Columbia, Canada) ทางใต้ติดต่อกับมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific) ส่วนทางเหนือติดกับมหาสมุทรอาร์กติก (Arctic) อลาสกาเป็นมลรัฐเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด หนาวที่สุด มีภูเขาสูงที่สุด มีความหนาแน่นของประชากรน้อยที่สุด มีทะเลสาบมากที่สุด และมีป่ามากที่สุดของสหรัฐอเมริกา
อลาสกา เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซีย แต่รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสหรัฐอเมริกา ในปี 1867 ข้อตกลงเรื่องการขายอลาสก้า ลงนามโดยนายวิลเลี่ยม เซวาร์ด (William Seward) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ฝ่ายอเมริกันต้องจ่ายเป็นค่าดินแดนขนาด 1.5 ล้าน ตารางกิโลเมตร ด้วยเงิน 7.2 ล้านดอลล่าร์


เนื่องจากรัฐอลาสกาอยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ ฤดูกาลที่พอไปได้คือ ฤดูร้อน กรกฎาคม ถึงตุลาคม ขนาดตอนนั้นไปเดือนกรกฎาคม 2009 ก็ยังค่อนข้างเย็น ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียสตอนเช้า ช่วงหน้าร้อนกลางวันจะยาวมาก เกือบเที่ยงคืนกว่าจะมืด พอตี 5 ก็เช้าแล้ว มือแค่ 4-5 ชั่วโปง ถ้าเป็นหน้าหนาวก็จะกลับกันคือ กลางวันจะสั้นมาก ตอนนั้นจำได้ว่าพอเริ่มบินเข้าใกล้อลาสกา ก็จะเริ่มมองเห็นภูเขาเป็นเทือกๆ ชักเริ่มตื่นเต้นแล้ว มีฉากหลังเป็นภูเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน สวยงามมาก เมืองที่ลงคือแอนเคอเรจ (Anchorage) เป็นเมืองท่าสำคัญ มีสนามบินนานาชาติขึ้นลงที่เมืองนี้ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุด
ตอนนั้นจากเมือง Anchorage แตงกับแม่ไปทางรถไฟ ธรรมชาติระหว่างทางที่สวยงามเลียบ เหมือนในโปสการ์ด นั่วรถไฟเป็นชั่วโมง มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ จาก Anchorage ลงใต้ไปประมาณชั่วโมงครึ่งก็จะถึงเมือง Whittier ซึ่งเป็นเมืองท่าเล็กๆสำหรับการท่องเที่ยว เรื่อที่ออกไปมีหลายบริษัท แต่พวกเราไปด้วยบริษัทเล็กๆ ธุรกิจครอบครัว ชื่อ Prince William Sound ไปชมธารน้ำแข็งหรือ glaciers เรือแล่นใท้งหมดช้าเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ประทับใจมากเพราะมีทั้งวิวสวยๆ น้ำตก สัตว์น้ำ น้ำแข็งให้ดูตลอด คุยกับคนท้องถิ่นเขาบอกว่าเดี๋ยวนี้ร้อนเร็วขึ้น และนานขึ้น ธารน้ำแข็งก็ละลายไปมากขึ้น นี่อาจเป็นผลจากโลกร้อน และระบบนิเวศน์ของอลาสกาค่อนข้างเปราะบาง ก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ถ้าไปตอนใต้อีก เป็นอุทยานแห่งชาติ Kenai Fjord National Park ซึ่งลงเรือที่ Seward ต้องขอบอกว่าอาหารในเรืออร่อย โดยเฉพาะอาหารทะเล ปลาแซลมอน ปูอลาสก้า สด อร่อยมาก
นอกจากธารน้ำแข็งแล้ว อุทยานแห่ชาติของอลาสก้าก็มีชื่อเสียงมาก โดยเฉพาะ อุทยานแห่งชาติเดนาลี (Denali National Park) ซึ่งอยู่ขึ้นไปทางเหนือ ซึ่งมียอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ชื่อยอดเขาแมกคินลีย์ (Mount McKinley) สูงถึง 2 หมื่นกว่าฟุตเหนือระดับน้ำทะเล เป็นที่อยู่ของ หมีกริซลี (grizzly bear) หรือหมีสีน้ำตาล กวางแคลิบู (calibou) และสัตว์ป่าอื่น นานาชนิด แต่จริงๆแล้วอยากเห็น หมีขาวหรือหมีโพลาร์ (polar bear เลยต้องดูที่สวนสัตว์อลาสก้าแทนไปก่อน

น่าเสียดายที่โอกาสได้เห็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม และเดือนมีนาคมถึงเมษายน เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณใกล้แถบขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ คือปรากฏการณ์แสงออโรร่า (Aurora) หรือแสงเหนือ (Northern lights) เป็นแสงสีเขียว ๆ ที่พาดผ่านท้องฟ้าตอนค่ำ ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์สนามแม่เหล็ก









รัฐอื่นในประเทศสหรัฐที่อยากแนะนำถ้าคนอยากชมธรรมชาติ:

  • มลรัฐฮาวาย (Hawaii) ตั้งอยู่ในหมู่เกาะฮาวายในมหาสมุทรแปซิฟิก ฮาวายได้รวมเข้ากับสหรัฐอเมริกา เป็นลำดับสุดท้าย ลำดับที่ 50 ใน ค.ศ. 1959 ฮาวายมีจำนวนประชากร ประมาณ 1 ล้านคนโดยมีโฮนาลูลู (Honalulu) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของฮาวายได้มีชื่อเล่นของรัฐว่า "รัฐอะโลฮา" (Aloha State) ซึ่งคำว่า อโลฮา เป็นคำทักทายในภาษาฮาวาย ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของฮาวาย ที่โดดเด่น เขียวขจีเป็นธรรมชาติ ชายหาด อากาศที่อุ่นเกือนตลอดทั้งปี เป็นที่โปรดปรานของนักท่องเที่ยว
  • แกรนด์แคนยอน (Grand Canyon) และอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellow Stone National Park) เป็นดินแดนหินผาและหุบเหว ซึ่งหน้าผามีความสูงถึง 1600 เมตร และหุบเหวสูงถึง 450 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในรัฐแอริโซนา (Arizona) อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone National Park) ตั้งอยู่ในเขตติดต่อสามรัฐได้แก่ ไวโอมิง (Wyoming) มอนทานา (Montana) และ ไอดาโฮ (Idaho) แต่พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐไวโอมิง อุทยานแห่งนี้เป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ มีพื้นที่กว่า มีเนื้อที่มากกว่า 2 ล้านเอเคอร์ ภายในอุทยานประกอบไปด้วย ที่ราบสูงและภูเขาสูงมีหน้าผาชัน มีบ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อนกว่า 10,000 แห่ง
สำหรับคนที่อยากไปเมืองที่มีสีสัน :
  • ลาสเวกัส (Las Vegas) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในมลรัฐเนวาดา (Nevada) ได้สมญานามว่า "เมืองแห่งบาป" (Sin City) เมืองทั้งเมืองเจริญเติบโตขึ้นมาจากความก้าวหน้าของกิจการการพนัน เป็นแรงดึงดูดหลักให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา ต่อมาก็ได้พัฒนาไปสู่ธุรกิจบริการใกล้เคียง ได้แก่ โรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความโอ่อ่าอลังการ และขนาดใหญ่มากกว่าที่อื่นในโลก ปัจจุบันนี้ คนไปเที่ยวลาสเวกัสไม่ได้เฉพาะไปเล่นการพนันเป็นหลัก แต่ไปเพื่อได้เห็นลักษณะอันพิเศษของเมืองนี้
  • ลอสแอนเจลิส (Los Angeles) หรือที่รู้จักในชื่อ แอลเอ (L.A.) เป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรมากที่สุดอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกา ชื่อเมืองลอสแอนเจลิส (Los Angeles) ในภาษาสเปน หมายถึง เทวดาหลายอค์ มีความหมายว่า "เมืองแห่งเทพ" เหมือน กรุงเทพบ้านเรา
  • ฮอลลีวูด (Hollywood) ปลายทางของถนนสายประวัติศาสตร์ รูท 66 (The Main Street of America) ตั้งอยู่ทางตะวันตกถึงตะวันตกเฉียงเหนือของนครลอสแอนเจลิส ฮอลลีวูดนั้นมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นศูนย์กลางแห่งประวัติศาสตร์ของอุตสาหรรมภาพยนตร์ โรงถ่ายทำภาพยนตร์ และดาราภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เป็นเจ้าภาพในการประกาศรางวัลออสการ์ (Academy Award) และยังเป็นที่ตั้งของถนน Hollywood Walk of Fame ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย

ดินแดนแห่งโอกาส สำหรับคนที่สนใจเรื่องการศึกษา:

ไอวีลีก (Ivy League) เป็นชื่อของกลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชนเก่าแก่ 8 แห่งที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ความเป็นเลิศทางวิชาการ รวมทั้งกิจกรรมทางวิชาการ ไอวีคือเถาไม้เลื้อยที่เกาะคลุมผนังด้านนอกของตึกเรียนเก่าแก่ของมหาวิทยาลัย มีสีแดงในฤดูใบไม้ร่วง เรียงตามลำดับอายุได้ดังนี้
- มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University พ.ศ. 2179)
- มหาวิทยาลัยเยล (Yale University พ.ศ. 2244)
- มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (University of Pennsylvania พ.ศ. 2283)
- มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน (Princeton University พ.ศ. 2289)
- มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University พ.ศ. 2297)
- มหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University พ.ศ. 2307)
- วิทยาลัยดาร์ทเมาท์ (Dartmouth College พ.ศ. 2312)
- มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University พ.ศ. 2408)

นอกจากนั้นยังมีมหาวิทยาลัยอื่นที่ชื่อคุ้นหู คือ
- มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นหนึ่งในสามมหาวิทยาลัยชั้นนำทางเทคโนโลยี นอกจาก MIT สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Technology) หรือ คาลเทค (CalTech) ซึ่งมีนักวิจัยรางวัลโนเบลหลายท่าน โดยเฉพาะในสาขาฟิสิกส์ และวิศวกรรมศาสตร์
.
- มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (University of California) เป็นกลุ่มมหาวิทยาลัย 10 แห่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีนักศึกษาทั้งหมดเกือบ 200,000 คน และศิษย์เก่าในปัจจุบันกว่าหนึ่งล้านคน มหาวิทยาลัยที่ตั้งแห่งแรกคือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California, Berkeley) อีกที่ที่น่าจะรู้จักกัน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (The University of California, Los Angeles) หรือรู้จักในชื่อ ยูซีแอลเอ (UCLA)
.
- มหาวิทยาลัยชิคาโก (The University of Chicago) มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น (Northwestern University) ทั้งสองมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงทางด้านวิชาการผลงานวิจัยต่าง ๆ ทั้งทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ตั้งอยู่ในมลรัฐอิลลินอยส์ (Illinoise) เมืองชิคาโกซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสามในสหรัฐเทียบตามจำนวนประชากร รองจากเมืองนิวยอร์ก และลอสแอนเจลิส
- มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ที่เมืองบอลติมอร์ (Baltimore) รัฐแมริแลนด์ (Maryland) จอห์นฮอปกินส์ มีชื่อเสียงในด้านการแพทย์และการพยาบาล


0 Comments:

Post a Comment

<< Home