My 2 years in the Big Apple - New York
แตงเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกก็ไปประเทศลุงแซมนี่แหละ เดือน มีนาคม 2000 ตอนนั้นไปเรียนภาษา 8 อาทิตย์ เพื่อสอบ TOEFL Kaplan ที่ Rensselaer Polytechnic Institute (RPI) Albany New York เป็นการทำ passport เพื่อเดินทางเป็นครั้งแรกของชีวิต ไปด้วยสายการบิน (Eva Air) เพราะว่าถูกกว่าสายการบินอื่น แต่ว่าต้องเปลี่ยวเครื่องหลายต่อมาก จากกรุงเทพ Bangkok ไป Taipei ไทเป Los Angeles - Chicago - Albany ตรวจคนเข้าเมืองอเมริกาที่ LA จำได้ว่า คนเยอะมาก ต่อเครื่องก็วุ่นวายมาก พอมาถึง LA ก็ต้อง transit เป็นสายการบินในประเทศ United Airlines อีก 2 ต่อ หิวก็หิวเพราะต้องรอที่สนามบิน แถมเครื่องบินในประเทศก็ไม่ได้ เสริฟอาหารจริงจัง ก็เลยได้มีประสบกาารณ์ Mcdonald เป็นครั้งแรก เนื่องจากปกติกินข้าวเป็นหลัก อาหารฝรั่งพวกขนมปัง แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ถ้าเลี่ยงได้เป็นเลี่ยง แต่เมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องจำยอม (กินกันตาย) เล็งเมนูอาหารเช้า ก็ดูน่าตาดี สั่งออกมา ขนาดนี่แทบจะ 3 คนกิน มิน่าล่ะ คนอเมริกันถึงตัวใหญ่
กว่าจะมาถึง Chicago ได้ก็หมดแรง เผลอหลับไปหน้า gate ระหว่าง ยังดีที่นั่งใกล้ประตู Air Ground มาปลุก เพราะประกาศเรียกแล้วก็ยังหลับอยู่ กว่าจะไปถึง Albany ได้ ใช้เวลาซะกว่า 30 ชั่วโมง จากออกจากบ้าน เมืองไทยมาถึง (Port-a-port) ตอนนั้นจำได้ว่าไปถึงประมาณเดือน มีนาคม ซึ่งก็เป็นฤดูใบไม้ผลิ (Spring) แต่เนื่องจาก Albany อยู่ทางตอนเหนือ (Upstate New York) มีนาคมก็ยังเห็นหิมะ (เป็นครั้งแรกในชีวิต) และก็ค่อนข้างเย็น (ประมาณ 0-10 องศาเซลเซียส แต่ที่นู่นนับเป็นฟาร์เรนไฮต์) ยังดีที่สนามบิน Albany เล็ก เจอคนที่มารับง่าย ไม่งั้นก็คงลำบากเหมือนกัน ขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง บางคนอาจนึกว่า Manhattan/New York City เป็นเมืองหลวงของรัฐ New York แต่จริงๆแล้ว Albany เป็นเมืองซึ่งอยู่ทางตอนเหนือจาก Manhattan
เสื้อผ้าก็ไม่ได้เตรียมมามากมีแต่ เสือ้กันหนาว (sweater) ไม่ได้เตรียมเสื้อคลุมหน้าหนาว (jacket) เรื่องรองเท้าก็สำคัญสำหรับหน้าหนาว รองเท้าผ้าใบ (sneakers) นี่เอาไม่อยู่จริงๆ โดยเฉพาะตอนที่ต้องเดินลุยกองหิมะนี้ เย็นเข้าไปถึงกระดูกเลยทีเดียว โดยเฉพาะบางทีเลี่ยงไม่ได้ หิมะสูงเกือบถึงเอว จะเดินก็ต้องระวังเพราะมองไม่เห็นพื้นว่าเป็นหลุมเป็นบ่อไหม รองเท้าบู๊ท (boot) จึงมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะรองเท้าบู๊ทที่ดีก็จะกันลื่นด้วย หิมะนี้ตอนตกก็ดูดีเป็นเกล็ดสวยงาม แต่พอลงไปที่พื้นข้างถนนไม่ก็วันมันก็จะสกปรก แถมก็ถ้าเจอน้ำก็จะลื่นมาก จะต้องระวังหัวทิ่ม
ตอนนั้นเนื่องจากเป็น package course ซึ่งรวมที่พักและอาหาร ที่พักก็เป็นหอนักเรียน 3 ห้องนอน share กับนักเรียนเกาหลี 2 คน อาหาร 3 มื้อก็ทานที่ โรงอาหาร ซึ่งเป็นแบบบุฟเฟ่นานาชาติ กินไปกินมาหลายอาทิตย์นี่อวบเลย จำได้ว่าแรกๆก็กินอาหารจานเขาไม่หมด ขนาดเหมือนจานเปล แต่อยู่ไปอยู่ไปชักกินได้ จากกินได้ 1 ใน 3 ของจานฏ้กิดนหมดได้ กระเพาะคนเรานี่ก็สามารถ (ในการขยาย) จริงๆ
source: google map
ตอนนั้นที่โรงเรียนมี Spring break ซึ่งเป็นช่วงหยุดบ่อย ก็เลยนั่งรถบัส Greyhound ไป New York City เส้นทาง Upstate New York นั้นมีชื่อเสียงมากโดยเฉพาะฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) ซึ่งทั้งเขาที่ผ่านก็เป็นสีเหลืองแดง สวยงามมาก กลับมาเล่าเรื่องการเดินทางครั้งแรกต่อ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า (แต่ก็มีสายการบินในประเทศ ที่เป็น low cost หลายสายการบินซึ่งก็ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่งโมง) จำได้ว่ารถไปถึงเกาะ Manhattan ตอนหัวค่ำ เห็นแสงสีของตึกทั้งเกาะแล้วก็ประทับใจมาก มองไปทางไหนก็เหมือนในหนังเลย (New York City นั้นมีคนมากมายหลากหลายเชื้อชาติ – NYC ประกอบด้วย Bronx – ทางเหนือ, Brooklyn – ทางใต้, Manhattan – ตรงกลาง, Queens และ State Island)
รถไปจอดที่สถานีรถบัส Port Authority (ประมาณ 8th Avenue และ 42th street) ซึ่งก็ใกล้กับ Time Square ดินแดนของการแสดง Broadway ช่วงที่ไปตอนนั้นพอดี เป็นวัน St Patrick’s day 17 มีนาคม ซึ่งเป็นการฉลองของคน Irish ก็มีการเดินพาเรดเฉลิมฉลอง และคนแต่งตัวด้วยสีเขียว วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ต้องลุยหิมะตก ขนาดใส่เสื้อหลายชั้นก็ยังเอาไม่อยู่ โชคดีที่ที่รู้จักให้ยืม jacket ไม่งั้นคงจะหนาวแข็งคาถนนเป็นแน่
หลังจากเรียนที่ Albany เสร็จ ก็มีเวลาประมาณ 1 เดือนก่อนกลับเมืองไทย ก็ติดใจกลับไป New York City พอมีคนรู้จักทำงานร้านอาหารไทย ก็ไปอาสาชาวยงาน ได้เงินกินขนม และก็ได้เที่ยวไปในตัว ร้านอาหารที่ทำมีหลายสาขาทั้งที่ Chelsea (23th street) ซึ่งเป็นที่สามารถหาผู้ชายเท่ๆหล่อๆมาออกเดทกันเองได้ จำได้ว่าตอนทำร้านนั้นครั้งแรกเห็นเขาจูบกันจะๆนี่ แทบทำจานที่จะเสริฟตก อีกร้านที่อยู่ University Avenue ใกล้ NYU แถมตอนนั้นที่ร้านมีตั๋วฟรีไปดูคอนเสริต ฟรี ก็เลยมีโอกาสไปดูคอนเสริต Mariah Carey ที่ Madison Square Gardenตัวจริงเสียงแหบมากแต่ร้องดีมากจริงๆ ขนลุก ร้องไป วิ่งไปบนเวที พอร้องเท้าข้างหนึ่งหลุด เธอก็เลยโยนอีกข้างให้คนดูซะเลย ตอนนั้นก็ยังอดคิดในใจไม่ได้ว่านี่ถ้าเป็นเมืองไทยคนจะกล้าแย่งกันรับไหมนี่
ถนนที่ New York นี่ดูง่ายเหมือนตารางหมากรุกเช่น 1st, 2nd, 3rd, Lexington, Broadway, 5th, 6th, 7th, 8th, 9th, 10th Avenue ตัดกับ street นับจากข้างล่างของ Mahattan ไล่ขึ้นข้างบน ถ้าเป็นเลข street ต้นๆก็ใกล้ Brooklyn เลข street เป็น ร้อยก็ใกล้ Bronx ที่ตั้งของมหาวิทยาลัย Colombia, มหาวิทยาลัย NYU New York University เดินระหว่าง Avenue ใช้เวลา 3-5 นาที ถ้าระหว่าง street ก้ยิ่งใกล้ ระบบ Metro หรือ Subway ใน New York City สะดวกมาก แต่บางที่อาจดูไม่ค่อยสะอาด ถ้าใครกลัวหนูนี่ยิ่งแย่ มองงไปในรางอาจเจอหนูตัวเท่าแมวได้ ใน subway ก็มีอะไรแปลกๆ (ที่ไม่ถูกกฎหมาย)เยอะ ตั้งแต่ขายของ เล็กๆน้อยๆ เล่นดนตรี เล่นกลต่างๆ สำหรับเงินเล็กน้อย จริงๆแล้ว รถบัสก็เยอะแต่ว่าการจราจรค่อนข้างหนาแน่น ไฟแดงเยอะต้องรอนาน (คนจึงไม่นิยมขับรถ ที่จอดรถก็หายาก ต้องหยอดเหรียญตลอด) ส่วนมากจึงเป็นผู้สูงอายุที่ขึ้นรถบัส รถแท็กซี่สีเหลืองก็เยอะเป็นสัญลักษณ์ของ Manhattan ที่เราเห็นในหนังเลย ถ้าคนขึ้นรถไฟเข้าออกเมืองก็ไม่ต่อได้ที่ Grand Central Station (Park Ave & 42nd street)
New York มีที่น่าชมสำหรับนักท่องเที่ยวหลากหลาย เช่น นั่งรถ 2 ชั้นชมเมือง นั่งเรือไปเกาะเพื่อชมเทพีเสรีภาพ Statue of Liberty, ตึก Empire State, ตอนนั้นไปสมัยที่ World Trade Centre ยังอยู่, South Street Seaport, สวนสาธารณะที่ใหญ่โต Central Park กลางเมืองซึ่งเป็นที่พักผ่อน (ที่มีสวนสัตว์ข้างในเหมือนในเรื่อง Madagascar นั่นแหละ), หอสมุดกลาง Public Libray ไม่ไกลจาก 5th Avenue ที่มีชื่อเสียงเป็นถนนเต็มไปด้วยร้านแบรนด์หรูๆเช่น Saks 5th Avenue, DKNY - Donna Karen New York, กระเป๋า Kate Spade, รองเท้า Nine West, Coach ซี่งบางยี่ห้อก็อาจไม่ค่อยได้ยินในไทย, Emporio Armani, Armani Exchange ที่เห็นมากก็ Banana Republic (แปลตรงๆคือร้านสาธารณรัฐกล้วยหอม ตั้งชื่อยังงัยเนี่ย), Gap, H&M, Victoria Secret (ร้านชุดชั้นในที่มีชื่อเสียง) ห้างใหญ่ก็เช่น Macy's (ตรงกระจกด้านหน้าตกแต่งน่ารักมาก) ร้าน Daffy's ย่านเดียวกัน แถวถนน 34th และ Broadway ที่ลืมไม่ได้ก็คือ ห้างสรรพสินค้า Bloomingdale แถว 3rd Avenue & 60th street (แถวนั้นมีร้านไอศครีมที่แนะนำให้ไปลองชื้อร้าน Serendipity เหมือนในหนัง ก็ลอง google ดูได้) ย่าน Soho downtown และ Century 21st ก็น่าช็อปปิ้ง นอกจากนั้น Manhattan ก็เป็นแหล่งหาที่กินมีร้านอาหารหนาแน่นทุกแบบทุกประเทศก็ว่าได้ ถ้าเป็นย่านก็ต้องเป็น China town, Little Italy หรือย่าน อินเดีย หรือ ไทยแถว Queens อาหารไทยนี้ร้านดีๆก็ทำเหมือนมาก อาหารไทนนี้อร่อยกว่าเมืองไทยบางร้านอีก จานใหญ่ด้วย ถ้าใครไปแล้วคิดถึงอาหารไทยขอแนะนำร้าน ศรีประไพ ไม่ไกลจากแถว Roosevelt
ถ้าคนชอบไปดูพิพิธภัณฑ์ ที่น่าประทับใจมากเช่น Metropolitan Museum of Art (5th Ave ติดกับ Central Park) และ American Museum of National History (Central Park West & 79th street) กิจกรรมที่พลาดไม่ได้คือเล่น Ice skate ที่ Rocky Feller ในฤดูหนาว Brooklyn Bridge ก็มีชื่อเสียงมาก ที่ๆไปแล้วชอบก็มี Cooney Island สวนสนุกสุดสาย F, สวนสัตว์ Bronx zoo, สวนต้นไม้ ดอกไม้ Botanical garden โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง
ถ้ามีรถขับออกไปก็มีหลายที่เช่น George Washington bridge หรือไปทางอุโมงค์ Lincoln tunnel ขับไปเลียบ แม่น้ำฮัดสัน Hudson รัฐนิวเจอร์ซีมีชื่อเล่นว่า รัฐสวน (Garden State) ก็เขียวขจีร่มรื่นสมชื่อจริงๆ เมืองอื่นใกล้ๆเช่น ขับไปทานอาหารทะเลที่ Long Island หรือถ้ายังอยากช็อปปิ้งออกไปย่านแบรนด์รถราคา (outlet) Woodbury แต่ละร้านเป็นอาคารเหมือนบ้านชั้นเดียว เข้าบ้านนู้นออกบ้านนี้ส่วนมากเป็น สิ้นค้าจากฤดูก่อนมีทั้งของยุโรปและอเมริกา หรือถ้าชอบสวนสนุกก็น่าจะขับออกที่ Six Flag มีเครื่องเสียวๆเยอะ ที่มีชื่อ เรียกว่า Batman Ride ขาห้อยต่องแต่ง ไม่กล้าแค่ยืนดูก็เสียวแล้ว ส่วนผู้ใหญ่ถ้ามีเวลาสุดสัปดาห์ก็น่าไปดู คาสิโน Casino ชื่อ แอตแลนติคซิตี้ Atlantic City คล้ายๆ จำลองลาสเวกัส Las Vegas มา แต่ละตึกแฟนซี หรูมาก ที่พักก็ถูกมากโรงแรม 5 ดาวนี่ไม่ถึง 50 เหร๊ยญต่อคืน อาหารร้านหรูก็ราคาถูกกว่าปกติ เพราะเขาดึงดูดให้คนเล่นการพน้น แม่ น้องชายปาล์ม และแตงก็ไปนอนพักเปิดหูเปิดตา แม่อยากลองเสี่ยงดวงเหมือนกันก็เลยให้พวกเราแลกเหรียญ 25 เซ็นต์ มา 10 ดอลลล่าร์ ออกมาเป็นกระป๋องเลยแล้วเขาก็ใส่ สล็อต (slot) เพราะเล่นตามโต๊ะไม่เป็น ก็กดมั่วไปเรื่อยๆ เป็นชั่วโมง เพราะกดไปกดมามันก็ไหลมาเรื่อยๆ ไม่เยอะแต่ก็ไม่หมดเสียที ก็เลยนีกออกว่าทำไมคนอยู่ได้เป็นคืนเพราะว่ามันก็ได้บ้างนั่นเอง แต่โดยรวมก็เสียนั่นแหละ
ตอนพ่อแม่มาเยี่ยม เดือนตุลาคม 2001
หลังจากแตงกลับจากอเมริกาครั้งแรก (มีนาคม-มิถุนายน 2000) แตงก็กลับไปเรียนปริญญาตรีเทอมสุดท้ายที่ธรรมศาสตร์ พอสอบเสร็จก็กลับมานิวยอร์คเดือนธันวาคม 2000 จำได้ว่ากลับมาตอนช่วงกำลังหนาวมากหิมะตกหนัก และได้ไปฉลองปีใหม่เป็นครั้งแรก
จากต้นปี 2001 ตอนนั้นก็เรียนภาษาที่ Baruch College เตรียมตัวสอบ GRE และ TOEFL เพื่อเข้าเรียนต่อปริญญาโท ระหว่างนั้นก็ฝึกงานกับสำนักงานท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสาขานิวยอร์คไปด้วย ทำงานร้านอาหารเก็บเงินไปด้วย กว่าจะย้ายไปเรียนต่อที่ Syracuse ทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค(ประมาณ 4 ชั่วโมงโดยรถ) ก็ประมาณเดือนสิงหาคม ปี 2000 ตอนนั้นปาล์ม น้องชายก็พึ่งจบมัธยมปลายและอยากตามมาอยู่ด้วย (ตอนนั้นมีปัญหา I-20 ใบประกอบเอกสารการเรียนเพื่อสมัครวีซ่าหายกลางทางก่อนถึงเมืองไทย เกือบจะไม่ได้มาแล้ว) ตอนนั้นจำได้ว่าก็หวั่นใจ กลัวน้องซึ่งยังอยู่ในวัยรุ่นมาแล้วใจแตกไม่อยากเรียนต่อ พอมาถึงก็ให้เริ่มช่วยตัวเองทันที ให้นั่ง subway ไปพิพิธภัณฑ์ พาไปสมัครงานร้านอาหาร โดยที่เรายืนรออยู่ข้างนอก อยากให้เขาได้ด้วยตัวเอง เสร็จสรรพเรียน 5 วันทำงาน 6 วันจะได้ไม่เกเร จริงๆแล้วก็น่าสงสารเหมือนกัน เราเช่าบ้าน 3 ห้องนอนอยู่กับพี่ผู้ชาย 2 ท่าน แตงกับปาล์มอยู่ห้องเดียวกัน ห้องแคบมาก มีแค่เตียงกับโต๊ะเขียนหนังสือ (ซื้อมาจากร้านเฟอร์นิเจอร์ Ikea มาต่อเอง do-it-your-own พอต่อเสร็จเหลือสกรูตั้งหลายตัว ก็เลยทำให้โตะดูท่าทางไค่อยจะมั้นคง สงสารปาล์มที่ต่องนอนที่พื้น) โชคดีไม่นานหาห้อง studio ได้ราคาแค่ 700 ต่อเดือนเป็นสัดส่วน แตข้อเสียคืออยู่กึ่งใต้ถุนก็เห็นขาคนเดินไปเดินมาและไม่ค่อยได้รับแสงแดด แถมบางทีมีแจ๊คพ๊อตน้ำท่วมห้อง
พ่อแม่มาเยี่ยมแตงกับปาล์มครั้งแรกหลัง 11 กันยายน 2001 ไม่นาน ที่จำได้ดีเพราะตอนนั่งเรือรอบเกาะ Manhattan พวกเรายังเห็นควันและฝุ่นจากตึก World Trade Centre ยังตลบจากบริเวณนั้นอยู่ น่าสลดใจมาก การควบคุมความปลอดภัยก็หนาแน่นมากในตอนนั้น พวกเราดีใจมากกับกรมาเยี่ยมเป็นคร้งแรกของพ่อแม่ เดินทางมาตั้งไกล พ่อแม่เองก็ไม่ได้จะอยากเที่ยวมาก แต่อยากมาดูความเป็นอยู่ของลูกว่าลูกกินอย่างไร อยู่ นอนอย่างไรมากกว่า
แตงดีใจที่พ่อแม่มีโอกาสไปเยี่ยมมหาวิทยาลัย Syracuse และดีใจที่พ่อแม่ได้ขับรถเลยขึ่นไปเที่ยวที่น้ำตก Niagara แตงจำได้ว่าแตงตัดสินใจไม่ไปเพราะมีงานกลุ่ม แต่ก็เสียดายเพราะแม้ว่าจะห่างกันเพียงขับรถ 2 ชั่วโมง ตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นจนบัดนี้ ก็ยังไม่เคยมีโอกาสไป จริงๆแล้วนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่แตงตั้งปณิธานว่าถ้ามี่โอกาสอยู่ที่ไหนก็จำพยายามไปที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ เพราะเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้วย้ายกลับ ก็อาจไม่มีโอกาสได้สัมผัสที่นั้นอีกเลยก็ได้
0 Comments:
Post a Comment
<< Home