4/29/2009

My 3 years in Switzerland

แตงไป กรุงเจนีวา Geneva ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ Switerland ครั้งแรกวันที่ 26 พฤษภาคม 2002 จำได้อย่างแม่นยำ ตอนนั้นไปจากนิวยอร์ค เพื่อผึกงานภาคฤดูร้อน เป็น เวลา 2 เดือน 6 หน่วยกิต (summer practicum internship) ตอนเรียนปริญญาโท ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ Syracuse ตอนนั้นไปกับทีมที่คณะ นักเรียนประมาณ 15 คน และมีอาจารย์ 1 ท่าน ตอนนั้นพวกเราพักที่ John Knox Centre อยู่ใกล้ที่ตั้งองค์กรระหว่าประเทศต่างๆ แตงฝึกงานกับ องค์กรผู้อพยพระหว่างประเทศ IOM - International Organisation for Migration ตอนแรกทำฐานข้อมูลบุคลากรภาคสนาม emergency personnel จากนั้นก็ย้ายมาทำเรื่องนโยบายและวิจัยด้านผู้อพยพ เพื่อนที่ไปด้วยกันบางคนฝึกงานที่กาชาด (Red Cross) บางคนได้ที่องค๋กรอนามัยโลก (World Health Organization) บางคนทำเรื่องอาวุธสงคราม และความมั่นคง (United Nations Diasarmament) หลากหลายมาก กลางวันเราก็ไปฝึกงาน ตอนเย็นแต่ละอาทิตย์ ก็มารวมตัวกัน อภิปรายในหัวข้อต่างๆ ทางด้านรัฐศาสตร์ต่างประเทศ ก่อนจบก็ต้องส่งรายงานเกี่ยวกับงานที่ทำ เพื่อนที่ไปด้วยกันก็มีทั้ง ชาวอเมริกัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เสาร์ อาทิตย์พวกเราก็ไปเที่ยวกัน ทั้งใน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และประเทศเพื่อนบ้านเช่น อิตาลี ฝรั่งเศส

พอจบหลักสูตรทุกคนก็กลับอเมริกา แต่แตงตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ (ตอนเพื่อนๆกลับกันหมดก้มเศร้าเหลือเราคนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบ แต่ก็ต้องทนดูสักตั้ง) ไหนๆก็เหลือแค่เทอมเดียว ขออยู่ในดงองค์กรดีกว่า น่าจะพอหางานได้ จริงแล้ววางแผนตั้งแต่อาทิตย์แรกที่ไปถึงเลย เพราะรู้ว่ามีเวลาไม่มาก ในการเตรียมตัวที่จะอยู่ต่อทั้งหาที่ฝึกงานที่จ่ายค่าตัว เริ่มเรียนภาษาฝรั่งเศสให้พอพูดได้ ต่อวีซ่า (carte le legitimation) และหาที่พักที่ราคาถูกพอสำหรับนักเรียน ใช้เวลาหาที่พักเป็นเดือน ฝึกงานตอนนั้นได้เงินแค่ 1,000 สวิสฟรังต์ ค่าที่พักส่วนใหญ่ก็ราคานั้นแล้ว กว่าจะได้หอพักสตรี ราคา 500 สวิสฟรังต์ได้นี่ ลำบากมาก โทรไปที่ไหนเขาก็พูดภาษาฝรั่งเศส เป็นอุปสรรคจริงๆ ที่พักที่ได้มีแม่ชีคุมเข้ม (foyer) ห้องค่อนข้างเล็ก นอน 2 คน (คนเข้าออกเยอะ เปลี่ยนเพื่อนร่วมห้อง 6 คนใน 8 เดือนที่อยู่ เคยเจอคนหนึ่งตัวเล็กนิดเดียวกรนเสียงดังมาก เราต้องหอบผ้า หอบผ่อนออกไปนอนที่ระเบียง) มีแต่เตียง ตู้เสื้อผ้า และ โต๊ะเขียนหนังสือ ห้องน้ำ และครัวรวม ห้ามทำกับข้าว หรืออาบน้ำหลัง 4 ทุ่ม เวลามีโทรศัพท์มาเขาก็จะประกาศเรียก เข้าตู้โทรศัพท์ไป ได้อารมณ์โรงเรียนประจำจริงๆ นอกจากฝึกงานแล้ว ก็ต้องเรียนด้วยเพราะตอนที่ตัดสินใจอยู่ต่อ ก็ยังเหลืออีก 2 วิชาและ วิทยานิพนธ์ถึงจะจบ วิชาหนึ่งก็ขออาจารย์เขียนรายงานชิ้นใหญ่ (independent study) อีกวิชาเป็นกาเรียนแบบอินเตอร์เน็ต อาจารยืที่อเมริกาเป็นคนจัดให้นักเรียนทางไกลสัมมนาผ่านห้องคุย (chatroom) เนื่องจากนักเรียนอยู่คนละที่ เวลาต่างกัน ทางเราได้ตอนสี่ทุ่มก็ต้องหอบตำหรับตำราไปที่อินเตอร์เน็ตคาเฟ่แถวสถานีรถไฟ กลางค่ำกลางคืนนี่ดูแล้วก็หวั่นใจเหมือนกัน (ภาษาฝรั่งเศส Gare de Cornavin อ่านว่า คอร์นาแวน ไปตอนแรกก็หน้าแตกอ่านว่า คอร์นาวินเหมือนกัน) จากเดือนพฤษภาคมก็เรียนไป ฝึกงานไปจนถึงเกือบสิ้นปี ในที่สุดความเพียรพยายามก็ได้ผล ก็ได้งานเป็นนักนโยบายด้านผู้อพยบ (Associate Migration Policy Officer) ก็เริ่มทำงานจริงจัง ตั้งแต่ต้นปี 2003 พอมีเงินเดือนจริงจังก็ได้ขยับขยายมาอยู่ห้อง studio มีห้องนำในตัว ตกแต่งแล้วประมาณ 1,000 สวิสฟรังต์ ตำแหน่งดีมาก อยู่ใกล้ น้ำพุ Jet d'eau มีชื่อเสียงของ ทะเลสาบ Le man ของ กรุงเจนีวา (อาจจะกลางเมืองไปหน่อย อยุ่ติดกับย่าน Paquis 'ร้อนแรง' redlight district เหมือนย่านพัฒน์พงษ์บ้านเรา ออกจากตึกนี่เลี้ยวขวาเข้าเมือง เลี้ยวซ้ายเป็นแหล่งขายของเซ็กซี่ sex shop) เดินไปก็ต้องมองซ้าย มองขวาเหมือนัน แต่ คนเขาใจดี ผู้หญิงก็ถูกกฎหมาย ส่วนใหญ่ถ้าเราให้เกียรติเขา เขาให้เกียรติเรา

ครอบครัวมาเยี่ยม กันยายน 2003
หลายคนก็เคยบอกว่า ว่าเป็นสวิสเซอร์แลนด์เป็นที่เที่ยวในฝัน ก็คงอยากเหมือนกัน เหมือนอยู่แต่ก็ทราบว่าแค่ประเทศเดียว ไปทัวร์ ก็ปาเข้าไปเกิน 70,000 บาทต่อคน แค่คิดก็ไม่รู้จะวางแผนอย่างไร 300,000 นี่ฟังเหมือนจะดาวน์บ้านได้เลย การท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องถูก แต่ประสบการณ์ โดยเฉพาะประสบการณ์ครอบครัว จริงๆแล้วตอนวางแผน ก็อยากที่จะเที่ยว หลายประเทศในยุโรป แต่น้องชายมีปัญหาในการขอวีซ่ากับสถานฑูตฝรั่งเศส (Schengen วีซ่าเข้าได้ 15 ประเทศที่ร่วมสัญญาระหว่างประเทศ www.schengenvisa.cc/ ) ตอนนั้นก็วางแผนไปเที่ยวฝรั่งเศส และอิตาลี การขอวีช่าของสวิสนี่ต้องส่งแฟกซ์เชิญไปจากที่ทำงานไปสถามฑูต แต่การที่เที่ยว Switzerland ทั้ง 10 วัน กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่ดีมากจริงๆ อยากให้พ่อแม่ และน้องชายได้มาเห็นที่ที่อพาร์ทเมนต์ที่แตงอยู่ ที่ที่แตงทำงาน บริเวณ Palais de Nations เก้าอี้สามขา (สัญลักษณ์ของคนที่โดนระเบิดและสูญเสียขา) พาพ่อแม่ และปาล์มให้ไปทัวร์ UN พิพิธพัณฑ์ Red Cross พาไปทานข้าวที่ Old Town ถ่ายรูปกับนาฬิกาดอกไม้ (flower clock) กรุงเจนีวาโดยเฉพาะในเมืองเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก Souvenir นาฬิกากุ๊กกู cuckoo clock ที่ออกมาขันทุกชั่วโมง มีดแบบพก victarinox ทั้งแบบผู้ชาย และผู้หญิง (ลายสัญลักษณ์ ดอกไม้ขาวแดง Edelweiss ก็มี) อาหารที่เจนีวาก็เหมือนอาหารฝรั่ง แต่บางอย่างก็มีชื่อเสียงมากเช่น Fondue ชีสต้ม จิ้มด้วยขนมปัง หรืออาจเป็น Fondue ช็อคโกแล็ต จิ้มด้วยผลไม้ สวิสเซอร์แลนด์มีการปศุสัตว์โดยเฉพาะ วัว ทั้งเนื้อนม และผลิตภัณฑ์ ต่างๆ ช็อคโกแลต Lindt hand-made ทำกันเห็นๆ เป็นรูปต่างๆ ทั้งน่ารักทั้งน่ากิน ตัดสินใจไม่ถูก ช็อคโกแลต ที่ขายตามร้าน หอมหวานมาก ขนมปังฝรั่งเศสแท่งยาวๆ ยิ่งถ้าพึ่งเสร็จใหม่ๆ กรอบนอกนุ่มใน อร่อยมาก แต่บางมีถ้าโดนลมนี่ก็จะแข็งมาก ที่บอกว่าขว้างหัวสุนัขได้จริงๆ กลางวันเขาก็กินกันง่ายๆ แค่ขนมปังกินกับชีสเป็นก้อนๆ เป็นอาหารกลางวัน และกล้วย คงจะหอมหวานมัน ตามภาษาเขานั่นแหละ ไอ้ตอนอยู่ที่โน่น ก็ไม่ได้กินของที่มีชื่อ อยู่สวิสต้องกิน 3 อย่าง wine-cheese-chocolate ตอนอยู่ก็ไม่ได้หัดทาน ความรู้สึกช้า อย่างเครื่องดื่มช็อคโกแลตร้อน (hot chocolate) เหมือนเอาช็อดโกแลตมาต้มเลย ยังบอกแม่เลยว่าถ้าคนเป็นเบาหวานอย่างแม่นี่อาจจะเซได้ ที่แตงติดใจคือ ไอศครีม Movenpick เป็นชื่อโรงแรมด้วย จำไม่ได้ว่าเคยถามหรือเปล่า ว่าเป็นบริษัทเดียวกันไหม โรงแรมหลายที่ที่มีชื่อเสียงเช่น Hotel Cornavin ที่มีรูป Tintin จากหนังสือการ์ตูน ยืนเป็นนายแบบ ได้ข่าวว่านาย Tintin จะเคยมาพักโรงแรมนี้ตอนเขามาเจนีวา
กรุงเจนีวาอยู่ติดกับประเทศฝรั่งเศส นั่งรถเมล์ถ้าเลยก็ข้ามแดนเลย อย่างเช่นไปตลาด Ferney Voltaire มีตลาด จำได้ว่าตอนนั้นไปซื้อของที่ตลาด ตอนนั้นค่าเงินยูโรไม่ต่างจากค่าเงินสวิสฟรังต์มาก ดังนั้นของจึงถูกกว่า ไปตลาดก็มีผลไม้สด ต้องสื่อสารเป็นภาษาฝรั่งเศส (ซึ่งแรกๆ เราก็งูๆปลาๆ) ทำมือทำไม้ ยื่นเงินให้เขาทอนกัน ชีสก็มีทุกแบบ กลมๆ homemade ยิ่งนาน ยิ่งกลิ่นแรง แถมบางอันมีสีเขียวๆ ม่วงๆ เขาก็ต้ดออกแล้วก็กินกันได้ รสนิยมการกินแล้วแต่วัฒนธรรมจริงๆ คงเหมือนเรากินปลาร้า ก็ให้พ่อแม่ไปดู chocolate train (Nestle เข้าก็หอมไปทั้งเมือง) และการทำ Gruyere (เข้าไปก็ฉุนทั้งเมือง) ที่ท่องเที่ยวที่ประทับใจมากก็มี Zermatt และภูเขาแหลมโดดเด่น Matterhorn เป็นเมืองที่น่ารักมาก เหมือนสวิสในฝันจริงๆ เราไปเดือนกันยายน เป็นหน้าฤดูใบไม้ร่วงอากาษกำลังเย็นสบาย, อีกเทือกเขาที่น่าสนใจมากกลางประเทศ แถว Interlaken คือ Jungfraujoch ที่ถ่ายทำเรื่อง James Bond 007 ไปถ่ายทำ ขึ้นไปทางหมู่บ้าน Grindelward มองลงมาเป็นภูเขาเขียว สดชื่นจริงๆ

ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ขึ้นชื่อเรื่องการทำนาฬิกา Phillipe Patek museum เป็นนาฬิกาที่แพงมาก เกือบจะที่สุดในโลกก็ว่าได้ แถวเจนีวาก็มีที่น่าสนใจหลายเมืองเช่น Nyon, Lausanne (เป็นเมืองที่ในหลวงท่านเคยประทับ), Montreux ไปตามหาตัว marmot เป็นสัตว์คล้ายกระรอกหางกุดน่ารักมาก อยู่ตามภูเขา Montreux มีชื่อเสียงกับ Jazz festival งานเพลงแจ๊สประจำปี จริงๆแล้วเมืองแถวนั้นค่อนข้างจะเป็นแนวศิลปิน มีการแสดงดนตรีในสวนสาธารณะ มีการเล่นหมากรุกจำลองต้องใช้แรงในการยก (parc de bastion) ขี่จักรยานโดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนอากาศดึ คนที่นั่นเน้นการพักผ่อนหย่อนใจกับธรรมชาติ เช่น อาบน้ำแร่กลางแจ้งที่ yvonne done les bains

สำหรับ อาหารการกินกรุงเจนีวา ค่าครองชีพที่สูง 1 ใน 10 ของโลก ปกติก็จะทานอาหารตาม มีทานข้าวกลางวันประมาณ 15 สวิสฟรังต์ ร้านอาหารขององค์กร ILO, WHO, UN, IOM, UNHCR หรือตาม food court อาหารที่อร่อยและบรรยากาศดี คือ International Meterological Organization อาหารจีนถูกสุด ประมาณ 10 เหรียญ Mcdonald ถูกสุดก็ยัง สวิสฟรังต์ มี fastfood Asia ต่ำกว่า 15 เหรียญถ้ากินตามร้านนี้ 28 เหรียญอย่างต่ำ 60 เหรียญ จำได้ว่าเคยมีคนเล่าว่าแรงงานที่สวิตเซอร์แลนด์ เงินดีมาก เพราะค่าครองชีพสูง แหล่งช็อปปิ้งก็เช่น Manor, Coop, Migros, ห้าง Balaxart, ถ้าของปลอดภาษีก็ต้อง Diplomatic shop หรือว่าถ้าจะเดินดูของก็ต้อง Plain Palais ซึ่งเป็นตลาดขายของมือสองเช้าวันเสาร์ ชอบไปของโบราณ และหนังสือภาษาอังกฤษมือสอง (ร้านหนังสือทั่วไป Payot มีแต่หนังสือภาษาฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน) บ้านเมืองเขาเดินทางด้วยขนส่งมวลชนสะดวกทั้ง รถเมล์ รถไฟราง tram รถไฟ train ถ้าจะไปไกลหน่อย รถราไม่เยอะมากแถมคันย่อมเยาว์ เช่นรถ SMART ที่มีชื่อเสียงในความเล็กและประหยัดของเขา คันเล็กระทัดรัด สั้นกว่าสองมือกางอีก หาที่จอดก็สะดวก แถมไม่เปลืองน้ำมันเสียง ถ้าเดินทางภายในประเทศนั้นรถไฟสะดวกมากขึ้นชื่อในความตรงต่อเวลา และสะอาด ถ้าจะเดินทางเยอะก็แนะนำให้ซื้อเป็น Swiss pass นับเป็นตามจำนวนวันที่ใช้จริง เดินทางเท่าไหร่ก็ได้ unlimited ไปไกลแค่ไหนก็ได้ นอกจากนั้นก็ยังมีเมืองอื่นที่น่าสนใจหลายเมือง เข่นเมือง Lucern ระหว่างทางก็มีสะพานกลางน้ำ กลางเมืองที่สวยงามมากเป็นจุดเด่น และ รูปแกะสลักสิงโตนอนตายอยู่บนหิน (Dying lion) มีคำแกะสลักว่า HELVETIORUM FIDEI AC VIRTUTI "To the loyalty and bravery of the Swiss" เป็นการขอบคุณความจงรักภักดีและเสียสละของทหารสวิสเซอร์แลนด์

เมืองอื่นที่น่าสนใจ และมีสีสรรมาก คือเมือง Bern ที่เป็นที่ตั้งของรัฐบาล ซึ่งเขาดูแลกันเป็นแบบ Federation เมืองเขาน่ารักมาก เดินง่ายตรงอย่างเดียว 2 ข้างทางเป็นร้านค้า เดินตรงไปเรื่อยจะไปสุดที่จะเห็นหมี (bear pits) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ แต่หลายคนคิดว่าเมืองหลวงเป็น Zurich ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เน้นไปทางธุรกิจ คิดว่าน่าจะมีคนต่างอยู่มากกว่า ที่อื่นด้วย ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ยังมีชื่อเสียงมากทางด้านภูเขาและสกี เช่น Davos เป็นเมืองที่จัดการประชุมเศรษฐกิจ World Economic Forum ที่สำคัญของโลก เห็นเพื่อนที่ไปประชุมได้รูปเล่นสกีกลับกันมา แถมคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุขณะเลานสกีขาหัก ต้องใส่เฝือกกันพักใหญ่ นอกจากนั้นที่มีชื่อเสียงลงไปทางตอนให้เช่น Lugano จะคล้ายประเทศอิตาลี ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เล็กๆทางตะวันตกติดประเทศฝรั่งเศสก็จะคล้ายทางนั้นใช้ภาษานั้น ทางตอนเหนือติดประเทศเยอรมันก็จะใช้ภาษา สวิสเยอรมัน ซึ่งก็ไม่เหมือนภาษาเยอรมันซะทีเดียว และทางใต้ติดประเทศอิตาลี ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ไม่ติดทะเล (landlock country) อาหารทะเลจะค่อนข้างแพงเพราะต้องนำเข้า ส่วนมากจะเน้นทางภูเขา...To be continued :)

0 Comments:

Post a Comment

<< Home