2/29/2008

จากลูกถึงพ่อ ตอนที่ 3 (Letter to Dad No.3)

Year 1: in search for PhD Thesis topic (April – Nov 2005)

30 มีนาคม 2548 ถึงออสเตรเลียลงทะเบียนเป็นนักศึกษาปริญญาเอก จำได้ว่าแต่งตัวสบายๆ รู้สึกดีที่ได้กลับมาเป็นนักศึกษาอีกครั้ง มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียค่อนข้างกว้าง และสงบ เมืองแคนเบอร่าอยู่ประมาณ 300 กิโลเมตรทางตอนใต้ของซิดนีย์ (Sydney) ประมาณ 3.5 ชั่วโมงโดยรถทัวร์ (coach) ถ้าบินในประเทศก็ประมาณ 40 นาที มีคนบอกว่าเนื่องจาก Sydney และ Melbourne ต่า’ก็ไม่ ยอมให้อีกเมืองเป็นเมืองหลวง ก็เลยมาลงเอยที่ เมืองระหว่างทาง (ห่างจาก Melbourne ประมาณ 650 กิโลเมตร) เป็นเมืองหลวงที่ค่อนข้างเงียบ โดยมากก็ใช้ชีวตอยู่ในหอนักเรียนถึงแม้เล็กแต่ก็สะดวก สบาย ไปถึงคณะครั้งแรกก็ดูบรรยากาศดี (National Centre for Epidemiology and Population Health) มีออฟฟิสที่ใช้ร่วมกับนักเรียนปริญญาเอก แต่ก็เป็นสัดส่วน

เริ่มไปแนะนำตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย็ก็บอกว่าช่วงแรกให้ปรับตัวไปก่อน ให้อ่านกว้างเพื่อให้ได้ความคิดจากวรรณกรรมปัจจุบันในด้านสาธารณสุขเนื่องจากเป็นสายที่ไม่คุ้นเคย (literature review) ใช้เวลานานพอสมควร อ่านนู่น อ่านนี่ ดูนู่น ดูนี่ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก พูดคุยกับคนถึงเรื่องที่น่าจะใช้ทำหัวข้อวิจัยได้ อาจารย็ให้หนังสือเล่นแรกมาอ่านชื่อ How to get a PhD[1] ตอนนั้นคิดในใจว่า “โอ้ โฮ ช่างเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองจริงๆ” ระหว่างหลายเดือนแรกต้องเข้า workshop แบบสั้นที่มหาวิทยาลัยจัดให้กับนักศึกษาแบบวิจัย ในการค้นคว้า database สำหรับวารสารวิชาการต่างประเทศ (งานตีพิมพ์ที่ทันสมัยส่วนใหญ่จะสามารถดาวน์โหลดได้จากฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัย) การใช้โปรแกรม endnote ในการทำรายการหนังสืออ้างอิง และ workshop ทางด้าน Microsoft package และ โปรแกรมทางสถิติ หรือโปรแกรมอื่นๆ เพื่อสร้างทักษะเมื่อจะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

งานวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ (social + science) แบ่งออกเป็นคร่าวๆได้ 2 แบบ เชิงปริมาณ (quantitative) และ เชิงคุณภาพ (qualitative) เทคนิคที่ใช้ก็ค่อนข้างแตกต่างกัน เชิงปริมาณ เน้นทางใช้ตัวเลขจากแบบสอบถามขนาดใหญ่ (survey) และวิธีการทางสถิติ (statistical analysis) ในการวิเคราะห์ เชิงคุณภาพอาจใช้วิธีทางการสัมภาษณ์ (in-depth interview) สังเกตการณ์ (participant observation) สัมภาษณ์กลุ่มย่อย (focus group discussion) ช่วงการเตียมหัวข้อวิจัยนี้สำคัญมากในการทำการบ้าน ไตร่ตรอง เสาะหา พูดคุยถึงความเป็นไปได้ (feasibility) ในการเรียนรู้วิธีที่จะใช้ได้อย่างทีประสิทธิภาพ ในเวลาจำกัด

คำถามหลักในการวิจัย (Research questions)
เป็นเรื่องแทงใจของนักศึกษาแบบวิจัย เพราะถ้าคำถามไม่ชัดเจน ก็จะหาวิธีการในการหาคำตอบได้ยาก ซึ่งการทำวิจัยจริงๆแล้วก็คือ ถามเอง ตอบเอง แต่ต้องตอบค้วยหลักฐานที่ได้มาตรฐานทางวิชาการ (academically sound) ตามวิธีการที่ได้รับการยอมรับในสายนั้นๆ การหา research questions มีความคล้ายคลึงกับ hypothesis testing คือ ตั้งสมมติฐานแล้วก็พิสูจน์เพื่อหาคำตอบ (there is a thesis in the thesis?) อาจารย์ที่ผู้เขียนนับถือมากท่านหนึ่งกล่าวว่าการถามคำถามที่ดีนั้นเป็นศิลปะ (art) หากแต่การค้นคว้าให้ได้มาซึ่งคำตอบนั้นถือเป็นงานศาสตร์ (science)

เสนอแผนการวิจัย (Research proposal)
Research proposal เป็นส่วนสำคัญมากในการวางแผนโครงการวิจัยซึ่งประกอบด้วยหลายส่วน โดยมากจะเริ่มจากการทบทวนงานที่เกี่ยวข้อง (literature review) ซึ่งนำไปถึงการให้เหตุผลในเรื่องที่ต้องการจะทำการวิจัย (rationale) และคำถามวิจัยหรือสมมติฐานการวิจัยที่ได้เอ่ยไปข้างต้น (research questions/ hypothesis) ส่วนต่อไปเป็นการนำเสนอระเบียบวิธีการทำวิจัย (methodology) รวมถึงออกแบบสอบถาม (questionnaire design) แผนการเก็บข้อมูล เชิงประมาณ หรือเชิงคุณภาพ พื้นที่ในการศึกษา (field site) ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ใช้การศึกษา (sample size) แผนการวิจัยยังรวมไปถึงงบประมาณที่วางแผนไว้ (fieldwork budget) และรายละเอียดกำหนดเวลาในการวิจัย (timeline)

คณะอาจารย์ที่ปรึกษา (Supervisory panel)
คณะอาจารย์ที่ปรึกษามีส่วนสำคัญมากในช่วงชีวิตการเป็นนักศึกษาปริญญาเอก ความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับอาจารย์แต่ละท่านขึ้นอยู่กับปัจเจก (personality) วิธีการทำงาน และการให้เวลากับนักเรียนของอาจารย์แต่ละท่าน คณะอาจารย์ที่ปรึกษาประกอบด้วยประธาน (chair of supervisory panel) ซึ่งส่วนมากจะเป็นอาจารย์ภายในคณะ อาจารย์หลักซึ่งมีส่วนอ่านงานค่อนข้างมาก (supervisor) และอาจารย์รองซึ่งเป็นผู้ให้คำปรึกษาในบางส่วนซึ่งอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญนอกคณะ หรือในภาคสนาม (advisor) คณะอาจารย์ที่ปรึกษาอาจมีตั้งแต่ 2-5 คนแล้วแต่การตกลงกันของนักเรียน และคณะอาจารย์ที่ปรึกษา

ความคาดหวังจากอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจในระดับหนึ่ง มีอาจารย์ที่เคารพท่านหนึ่งสรุปให้ฟังสั้นว่า หน้าที่ของอาจารย์ที่ปรึกษานั้นไม่ใช้ไว้บอกว่านักศึกษาทำอะไร เนื่องจากกระบวนการเรียนปริญญาเอกนั้นเพื่อให้เป็นการฝึกฝนในการเป็นนักวิจัย (independent researcher) ไม่ใช่เพียงแต่เป็นผู้ช่วยวิจัย(research assistant) และเนื่องจากการทำปริญญาเอกใช้เวลาค่อนข้างนาน เรื่อองที่ทำต้องเป็นเรื่องที่นักศึกษาสนใจจริงๆ จึงจะสามารถอยู่กับมันได้ หากแต่ประสบการณืการของอาจารย์ที่ปรึกษาที่เห็นน้กศึกษาจบกันมาได้ ช่วยในการตักเตือนหากนักศึกษาออกนอกลู่ในการวิจัย และช่วยดูว่างานยังดูมีความเชื่อถือทางวิชาการหรือไม่ (academically sound) ตลอดเวลาในการเรียนนั้น การสร้างช่องทางการสื่อสารกับอาจารย์ที่ปรึกษาจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก (communication channel) เพื่อมีความคาดหวังที่ตรงกันทั้งสองฝ่าย

ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และนักเรียนนั้นไม่หยุดนิ่งและเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละช่วงของการวิจัย (different stages of research) ในช่วงแรกอาจารย์จะแนะนำถึงแหล่งในการค้นหาข้อมูลเพื่อหาหัวข้อวิจัย อาจารย์ที่ปรึกษาไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่นักศึกษาค้นคว้า แต่เป็นผู้ที่พูดคุยให้คำปรึกษาในขั้นตอนและกระบวนการการทำวิจัยได้ (mentor) อาจารย์แต่ละท่านมีความเชี่ยวชาญที่ต่างกัน และอาจารย์แต่ละท่านก็มีทั้งงานวิจัยของตัวเอง และงานสอน ดังนั้นจึงอยู่ที่ตัวของนักเรียนในการเข้าหา และตกลงเรื่องการจัดเวลาในการเข้าพบอาจารย์แต่ละท่าน หรือเรียกประชุมทั้งคณะอาจารย์ที่ปรึกษา (panel meeting)

คณะอาจารย์ที่ปรึกษามีประธานเป็นนักระบาดวิทยาที่มีประสบการณ์มาก เปรียบเหมือนผู้จัดการและ เป็นผู้ดูภาพรวมของวิทยานิพนธ์ อาจารย์อีกท่านเป็นนักสถิติซึ่งมีส่วนสำคัญมากในการคุยเค้าโครงการวิเคราะห์ อาจารย์อีกท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมีส่วนช่วยมากในการประยุกต์ใช้เศรษฐมิติ (econometrics model) อาจารย์หลักอีกท่านเป็นนักประชากร ซึ่งมีความละเอียดมากในการให้คำแนะนำต่างๆ และอ่านทุกร่างของแต่ละบทอย่างละเอียด ผู้เขียนพยายามที่จะจัดกระจายความถี่ในการพบอาจารย์แต่ละท่านเพื่อให้งานพัฒนาย่างต่อเนื่อง ความท้าทายในการทำงานร่วมกับทีมคณะอาจารย์ที่ปรึกษาอาจมาจากลักษณะของวิทยานิพนธ์ที่คาบเกี่ยวกับหลายสาขาวิชา (multidisciplinary) และอาจารย์แต่ละท่านก็มีความเชี่ยวชาญต่างกัน มีแนวความคิดและ ใช้ภาษาทางวิชาการที่แตกต่างกัน (different terminology) การนำมาให้ความคิดเห็นตรงกันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย จึงเป็นหน้าที่ของนักเรียนในการที่จะประสานงานและ ศิลปะในการจัดการคณะที่ปรึกษา (managing supervisor) ให้ได้ประสิทธิผลที่สุด

การนำเสนอหัวข้องานวิจัย (Thesis proposal seminar)
หลังการการเตรียมตัวประมาณ 6-9 เดือน การนำเสนอหัวข้องานวิจัยอย่างเป็นทางการทั้งทางการนำเสนอผ่านการสัมนาของคณะเปิดให้สาธารณะ (defend proposal) หรือเป็นการประเมินเฉพาะภายในคณะอาจารย์ที่ปรึกษา การนำเสนอหัวข้องานวิจัยเเพื่อดูความพร้อมและความชัดเจนของหัวข้อและคำถามการวิจัย และความเป็นไปได้ของวิธีการและขอบเขตวิจัยที่นำเสนอในเวลาที่กำหนด ก่อนที่นักศึกษาจะออกไปเก็บข้อมูลภาคสนามในปีที่ 2

โดยสรุปข้อดีของปีแรกคือการเหมือนได้มาเริ่มชีวิตการเป็นนักเรียนใหม่ มีความตื่นเต้นในการคิด และอ่านอย่างกว้างๆ ความกังวลอาจเนื่องมาจากการหาหัวข้อการทำวิจัย โดยเฉพาะดูเหมือนว่าจะต้องขนขวายและพยายามเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตนเอง (learning how to learn) ซึ่งมาทราบภายหลังว่าเป็นหลักการเรียน PhD ผู้เขียนเปลื่ยน 4 หัวข้อในช่วง 4 เดือนแรกของ (จากเรื่องบุหรี่ เป็นเรื่องเหล้า เป็นเรื่องโลกาภิวัฒน์ และท้ายที่สุดมาลงเอยที่เรื่องความไม่เท่าเทียมกันทางสุขภาพ) แต่ถ้ามองย้อนไปแล้วถือว่าช่วงปีแรกเป็นรากฐานที่สำคัญ การวางแผนที่ดี กำหนดวงงบประมาณและเวลาสำคัญมากเพราะเวลา 3-4 ปีในการทำ PhD ดูเหมือนว่าจะนานแต่จริงๆแล้ว แป๊ปเดียวปีแรกก็ผ่านไป หัวข้อก็ได้มา คราวนี้ก็มาถึงความท้าทายต่อไปก็คือจะลงมือทำได้ไหม และทำอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อต้องลงภาคสนามในปีที่ 2

[1] Philllips, E.M. and Pugh, D.S. (1994). How to get a Ph.D.: a handbook for students and their supervisors. Philadelphia : Open University Press

1 Comments:

At 8:18 AM, Anonymous Anonymous said...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ

 

Post a Comment

<< Home